แม่ชีวัดดังเปิดใจ แจงปมภาพเที่ยวทะเลยันลาศีลก่อนเที่ยว
แม่ชีวัดดังเปิดใจ แจงปมภาพใส่วิกเที่ยวทะเล ร้องคาราโอเกะยันลาศีลก่อนเที่ยว - ใช้เงินตัวเอง
20 พ.ค. 2568 ผู้สื่อข่าวได้เดินทางมายัง วัดเกตุมดีศรีวราราม ต.บางโทรัด อ.เมือง จ.สมุทรสาคร หลังเพจดังได้โพสต์ภาพ พร้อมระบุข้อความว่า “แม่ชีวัดดัง เที่ยวทะเล-ร้องคาราโอเกะ แต่งตัวแฟชั่น ใส่วิกไม่สำรวมแม่ชีจากวัดเกตุมดีศรีวราราม ปรากฏตัวในภาพถ่ายขณะเที่ยวทะเลกับกลุ่มสาวหล่อ สวมใส่เสื้อผ้าลำลอง เปิดหน้าท้อง ใส่วิกผม แต่งหน้า และถ่ายภาพแนบชิดกับสาวหล่อ พร้อมร่วมกิจกรรมร้องคาราโอเกะในที่พักส่วนตัว
คำถามคือ...นี่คือพฤติกรรมของผู้ถือเพศพรหมจรรย์ที่สมควรหรือไม่? วัดไม่มีไวยาวัจกร ไม่มีคณะกรรมการคอยตรวจสอบ กิจกรรมและเงินบริจาคถูกใช้เพื่ออะไร? ภาพนี้ถ่ายในเดือน กุมภาพันธ์ 63” ขณะลงพื้นที่เพื่อสอบถามข้อเท็จจริงจากแม่ชี ผู้สื่อข่าวพบว่า บรรยากาศภายในวัดยังมีประชาชนเข้ามาทำบุญตามปกติ และภายในหอประชุมสงฆ์ สังฆบัณฑิต ซึ่งตั้งอยู่ด้านในของวัด มีญาติโยม เข้ามาทำบุญเลี้ยงพระถวายสังฆทาน พระภิกษุสงฆ์ จำนวน 125 รูป ซึ่งมีทั้งพระในวัดเกตุมฯ และพระจากวัดต่างๆ รวม 10 วัด
ซึ่งจากการสอบถามทราบว่าเป็นกิจกรรมถวายมหาสังฆทานที่พุทธศาสนิกชน ผู้มีจิตศรัทธาต่อวัดเกตุมฯ ร่วมกับแม่ชี จัดขึ้นเป็นประจำทุกเดือน บางเดือนจัดขึ้นหลายครั้ง ผู้สื่อข่าวได้สอบถาม แม่ชี กมลทิพย์ เล่าให้ฟังว่า ภาพที่ถูกเพจดังเอามาเผยแพร่ เป็นภาพของตนเองจริง ครั้งนั้นเป็นการไปพักผ่อนที่จังหวัดเพชรบุรี แต่ก่อนไปตนเองและแม่ชีอีกหลายคน ได้ทำการลาศีล 8 เป็นที่เรียบร้อยแล้ว
ด้านแม่ชี ศิรินทิพย์ ระบุว่า วันที่ไปพักผ่อนจังหวัดเพชรบุรี ตนก็เดินทางไปด้วย แต่ตนไม่ได้ลาศีล ยังคงอยู่ในชุดนุ่งขาวห่มขาวแบบแม่ชี ส่วนที่ตัดสินใจไปพักผ่อน เนื่องจากน้องๆ แม่ชีที่ไปด้วยกันนั้น ได้ช่วยทำงานให้วัดมาตลอดทั้งปี ไม่เคยได้พักผ่อน และประกอบกับตนเพิ่งขายที่ดินได้เงินมาก้อนหนึ่ง จึงตัดสินใจไปพักผ่อนที่ทะเล ส่วนแม่ชีไปด้วยกันวันนั้น ส่วนใหญ่ได้ลาสิกขาจากแม่ชีไปหมดแล้ว คงเหลือที่ยังบวชชีอยู่เพียง 3 คน และเรื่องที่มีแม่ชีลาศีลไปพักผ่อนนั้น ก็ได้แจ้งให้ทางสำนักพุทธรับทราบแล้ว
ทั้งนี้ผู้สื่อข่าวได้สอบถามไปยัง เจ้าหน้าที่สำนักงานพระพุทธศาสนาจังหวัดสมุทรสาคร เกี่ยวกับเรื่องที่เพจดังกล่าวเผยแพร่ ให้ข้อมูลว่า แม่ชีไม่ใช่นักบวชตามประมวลกฏหมาย เป็นเหมือนกับ อุบาสก อุบาสิกา ในพระพุทธศาสนา และเรื่องที่เกิดขึ้นเป็นเรื่องเฉพาะตัว สำนักพุทธจึงไม่มีอำนาจหน้าที่ตรวจสอบเรื่องดังกล่าว