จวกยับ ครูศูนย์เด็กเล็ก สะเพร่าลืมเด็กไว้บนรถตู้ 7 ชม. หนูน้อยช็อกหมดสติ
วิจารณ์ยับ ครูศูนย์เด็กเล็ก สะเพร่าลืมเด็กไว้บนรถตู้ 7 ชม. หนูน้อยช็อกหมดสติ ตาเหลือกต้องหามส่ง รพ. ครูยื่นข้อเสนอเซ็นสัญญาห้ามเรียกร้อง ห้ามฟ้อง อึ้งใช้งบหลวงเยียวยา?
14 ก.ย. 2567 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เพจข่าวท้องถิ่นเพชรบูรณ์ ได้โพสต์รูปภาพเด็ก 2 ขวบ พร้อมระบุข้อความว่า “ลูกเพจแจ้งมา ครูเทศบาลแห่งหนึ่งในจังหวัดเพชรบูรณ์ ลืมเด็ก 2 ขวบ ไว้ในรถตู้ ตั้งแต่เช้าถึงบ่ายสาม เด็กมีอาการหมดสติ ตาค้าง ตัวเหลือง โชคยังดีหมอช่วยไว้ทัน แต่เรื่องเหมือนจะจบเมื่อทาง นายกฯ เทศบาล รวบรวมเงินสด 10,000 บาท ครูเวร 5,000 บาท มาให้ พร้อมเสนอจะรับพ่อแม่เด็กเข้าทำงานในเทศบาลเพื่อเป็นการเยียวยา โดยให้พ่อแม่เด็กเซ็นสัญญาว่าหลังจากเซ็นแล้ว ห้ามพ่อแม่เด็กเรียกร้องสิทธิ์อะไรอีก แต่พ่อแม่เด็กไม่เช็น ใช้งบหลวงเยียวยาแบบนี้ก็ได้หรอ
หลังจากโพสต์ดังกล่าวถูกโพสต์ออกไป ปรากฏว่า มีชาวเน็ตเข้ามาวิพากษ์วิจารณ์กันจำนวนมาก เช่น “นายกเทศฯ คิดง่าย คิดตื้นเกิน คิดจะเยียวยาแต่แฝงไปด้วยเหลี่ยม, น่าสงสารมากเลยลูก, เอาให้ถึงที่สุดลูกหลานใครๆก็รัก, ยังมีอีกเนาะครูที่สะเพร่าแบบนี้ ข่าวเขาก็ออกบ่อย หน้าที่คือตรวจเช็กเด็กก่อนลงรถทุกครั้ง ทำไม ทำไม่ได้ฯ”
ต่อมาทราบว่าเหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 22 ส.ค. 2567 ที่ผ่านมา ซึ่งเด็กคนดังกล่าว อายุเพียง 2 ขวบ 7 เดือน เป็นเด็กนักเรียนศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก ของเทศบาลแห่งหนึ่งใน อ.บึงสามพัน จ.เพชรบูรณ์
ผู้สื่อข่าว เดินทางไปยังบ้านของเด็กคนดังกล่าว ซึ่งอยู่ใน อ.บึงสามพัน จ.เพชรบูรณ์ พบว่าทางครอบครัวมีความวิตกกังวน เกี่ยวกับอาการ ผลข้างเคียงที่จะตาม ของน้องเพราะหลังจากเกิดเหตุ และออกจากโรงพยาบาล ผิวหนังที่มือเท้าลอก จากที่ไม่เคยเป็นมาก่อน และมีอาการผวาไม่อยากไปโรงเรียน ชุดนักเรียนก็ไม่ยอมใส่ แค่เห็นหน้าโรงเรียนก็ร้องไห้ทุกวันนี้
ทางครอบครัวจึงตัดสินใจไม่ให้ไปโรงเรียน และช่วยกันดูแลอย่างใกล้ชิด เพื่อดูอาการอยู่ที่บ้าน ขณะที่ทางพ่อของน้อง คือนายทนงค์ เล่าว่า ทันทีที่ทราบข่าวว่าลูกสาวติดอยู่ในรถตู้ ตนทั้งตกใจและใจหายมาก เคยเห็นแต่ในข่าว ไม่คิดว่าเรื่องแบบนี้จะมาเกิดกับลูกสาวของตน ตนจึงอยากให้ทางเทศบาล มารับผิดค่าเยียวยา ให้มันสมเหตุสมผลมากกว่านี้ และในส่วนของการรักษา อยากให้มาดูแลรับผิดชอบจนกว่าทางครอบครัวมั่นใจว่าจะไม่มีอาการข้างเคียงใดๆ เกี่ยวกับสมอง
เพราะน้องติดอยู่ในรถตู้นานถึง 7 ชั่วโมง เช้าถึงเย็น และในส่วนของเงิน 10,000 บาท ที่ทางเทศบาลใส่ซองมาให้ ตนมองว่าน้อยเกินไป สำหรับชีวิตลูกสาวของตน เพราะที่บ้านก็ไม่ค่อยมีเงิน ถ้าวันข้างหน้าน้องเกิดเป็นอะไรขึ้นมา ตนก็คงไม่มีเงินพาน้องไปรักษา จึงอยากให้ทางเทศบาลเข้ามาดูแลเรื่องค่าเยียวยา ให้สมเหตุสมผลมากกว่านี้ ด้านนางสาวสุจิรารัตน์ แม่เล่าว่าในวันดังกล่าวทางครูที่โรงเรียน โทรมาบอกว่า น้องนาเดียร์ เกิดอุบัติเหตุนิดหน่อย ซึ่งตนไม่คิดว่า ครูจะลืมลูกสาวของตนไว้ในรถตู้ ตั้งแต่เช้า ถึงเย็นบ่ายสามโรงเรียนเลิก และวันนั้นอากาศก็ร้อนด้วย ตอนนั้นใจร่วงไปถึงจึงรีบขี่รถไปหาลูกที่ห้องฉุกเฉินโรงพยาบาล ก็เห็นสภาพลูก นอนนิ่ง ตาค้าง
คิดในใจว่าลูกคงไม่รอดแล้ว กลัวไม่ได้ลูกคืนมา แต่โชคดีที่ลูกฟื้นขึ้นมาไม่ถึงเสียชีวิต โดยครูเวร ในวันดังกล่าวบอกว่านับน้องลงจากรถตู้แล้ว ครบ 13 คน และขึ้นไปเช็กบนรถแล้วไม่มีใครอยู่บนรถตู้ ซึ่งตนไม่คิดว่าครูจะลืมลูกสาวของตนไว้บนรถตู้ จนถึงบ่าย 3 โมงเย็น คนขับรถตู้มาพบว่า น้องนอนคว่ำหน้า อยู่ที่พื้นรถแถวที่สอง สภาพตาเหลือก จึงรีบแจ้งครูและนำส่งโรงพยาบาล และโทรแจ้งตน
สำหรับการเยียวยาทางเทศบาล ให้เงินสดมา 10,000 บาท และให้ตนไปทำงานในกองการศึกษาในเทศบาล ส่วนทางครูเวร ออกค่าห้องพิเศษให้ 2,000 บาท ค่าขนมน้อง 500 และ วันที่ 3 ก.ย. 2567 ที่ผ่านมาให้เพิ่ม 5,000 บาท และถามตนว่าโอเคไหม แต่ตนยังไม่ตอบ และทางครูเวร ก็นำหนังสือสัญญามาให้ตนเซ็นว่า ตนได้รับเงินเยียวยา 15,000 บาท ค่าห้องพิเศษ 2,000บาท โดยข้อ 4 ระบุว่า
“ในการทำสัญญาฉบับนี้ ผู้รับสัญญาได้รับเงินช่วยเหลือตามข้อ 1 ข้อ 2 และ ข้อ 3 เรียบร้อยแล้ว และผู้รับสัญญาสละสิทธิและไม่ติดใจเรียกร้องเงินหรือค่าเสียหายหรือค่าสินไหมทดแทนอื่นใด จากความเสียหายต่อร่างกาย หรือค่าเสียหายในลักษณะเดียวกันนี้ จากผู้ให้สัญญาอีก รวมทั้งไม่ติดใจดำเนินคดีทั้งทางแพ่งและทางอาญากับผู้ให้สัญญาผู้ช่วยเหลือจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นด้วย”
แต่ตนไม่เซ็น ตนจึงบอกไปทางครูเวร ว่าขอเพิ่มเงินเยียวยา อีก 33,000 บาท ให้ครบ 50,000 บาท เพราะตนมองว่ามันน้อยไปสำหรับชีวิตลูกสาวเรา แต่เรื่องก็เงียบไป เมื่อวานตนโทรถามก็บอกว่ายังไม่ว่างคุยกับทางนายกฯ ส่วนเรื่องงานที่เสนอมา ตนก็ตัดสินใจไม่ไปทำ อยากขอเป็นเงินก้อนไว้รักษาลูกสาวดีกว่า เพื่อในวันข้างหน้าลูก เกิดป่วยเป็นอะไรขึ้นมา จะได้มีเงินรักษา และตนมองว่า ถ้าตนขอเพิ่มทั้งเงิน และไปทำงานด้วย ก็เหมือนว่ามันมากไป และถ้าไปทำงานก็เหมือนว่า ตนเข้าไปทำงานแบบไม่ถูกต้อง ซึ่งตนก็ไม่แน่ใจว่าในอนาคตจะมีผลอย่างไรกับตนหรือไม่?
ตนจึงตัดสินใจไม่ไปทำงาน ไปแค่วันแรกวันเดียว แล้วก็ไม่ไปอีกเลย สำหรับในใจตน อยากเรียกร้องเงินเยียวยา 50,000 บาท หรือถ้าเป็นไปได้ 100,000 บาท แต่ก็เกรงใจ ไม่รู้จะได้ไหมอย่างไร เพราะตอนนี้เหมือนเรื่องก็เงียบไปเลย ยังไม่มีใครเข้ามาคุย