คอลัมนิสต์

พลิกปูม "บิ๊กติ๊ก พล.อ.ปรีชา จันทร์โอชา"ยามเจอมรสุมชีวิต

เกาะติดข่าวสาร >> คมชัดลึก ออนไลน์
logoline

พลิกปูม"บิ๊กติ๊ก พล.อ.ปรีชา จันทร์โอชา"ยามเจอมรสุมชีวิตที่ผ่านมาหลายครั้งที่เจอแต่ฝ่าไปได้ ครั้งนี้หนักหนาจะจบลงอย่างไร

เจอมรสุมครั้งใหญ่เข้ากับชีวิตเสียแล้วเมื่อ ป.ป.ช.ชี้ว่า“บิ๊กติ๊ก พล.อ. ปรีชา จันทร์โอชา”จงใจยื่นบัญชีทรัพย์สินเป็นเท็จ

พล.อ.ปรีชา เกิดวันที่ 8 กรกฎาคมพ.ศ.2499 ปัจจุบันอายุ 65 ปีเป็นบุตรของ พ.อ.ประพัฒน์ กับนางเข็มเพชร จันทร์โอชา มีชื่อเล่นว่า“ติ๊ก”แต่สื่อมวลชนนิยมเรียกว่า“บิ๊กติ๊ก”

เป็นน้องชายของพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี

สมรสกับนางผ่องพรรณ มีบุตรชายคือ ว่าที่ร้อยตรีปฏิพัทธ์ จันทร์โอชา นายทหารสังกัดกองทัพภาคที่ 3

โรงเรียนเตรียมทหารเคยได้มอบรางวัลเกียรติยศจักรดาวให้ พล.อ. ปรีชา ในปี 2559 

และองค์การสงเคราะห์ทหารผ่านศึกได้มอบเหรียญเกียรติคุณชั้นที่1ให้แก่ พล.อ. ปรีชาในปี 2560

ลำดับสาแหรกของ พล.อ. ปรีชา

การศึกษา

บิ๊กติ๊ก พล.อ.ปรีชา สำเร็จการศึกษาจากโรงเรียนวัดนวลนรดิศ โรงเรียนเตรียมทหารรุ่นที่ 15 และโรงเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้ารุ่นที่ 26

ในปี 2557ได้รับแต่งตั้งเป็นสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ(สนช.)และเป็นที่มาของคดีนี้เมื่อเขาต้องยื่นบัญชีทรัพย์สินฯต่อ ป.ป.ช.ในตำแหน่งสนช.

เป็น สนช.ที่ขาดประชุมมากถึง 394 วันจาก 400 วัน

นายวีระ สมความคิด เลขาธิการเครือข่ายประชาชนต้านคอร์รัปชั่น(คปต.)ได้เคยออกมาเปิดเผยและตั้งคำถามว่าพล.อ.ปรีชา ในฐานะสมาชิกสนช.ขาดการประชุมเป็นประจำ

พร้อมระบุว่าตำแหน่ง สนช.ถือเป็นตำแหน่งข้าราชการทางการเมือง เป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ รัฐต้องจ่ายเงินเดือน เบี้ยประชุม รวมถึงผลประโยชน์ตอบแทนอื่นๆอีกมากมาย

มีเจ้าหน้าที่ของรัฐคนใดบ้างที่สามารถลางานได้มากถึง 394 วันจากจำนวนวันทำงานทั้งหมด 400 วันโดยไม่ถูกไล่ออกจากราชการก็คงมีแต่พล.อ.ปรีชา น้องชายนายกฯประยุทธ์ คนนี้คนเดียวเท่านั้น

ถ้าอ้างว่าติดราชการงานอื่นจนไม่มีเวลามาทำงานก็ควรมาลาออกไป กระทรวงการคลังจะได้ไม่ต้องเสียหายไม่ต้องเสียงบประมาณแผ่นดินอันเป็นเงินภาษีอากรของประชาชนมาจ่ายเป็นเงินเดือนแสนสองหมื่นบาท

อย่างไรก็ตามเรื่องนี้คณะอนุกรรมการจริยธรรมของ สนช.ได้สรุปผลสอบออกมาว่าไม่เข้าข่ายผิดจริยธรรมเนื่องจากการลาประชุมเป็นไปตามข้อบังคับและมีภารกิจของหน่วยงานที่ตนเองเป็นผู้บังคับบัญชาระดับสูงไม่สามารถมอบหมายให้ผู้อื่นดำเนินการแทนได้จึงมีความจำเป็นต้องลาประชุม

เดือนพฤษภาคม 2562 พล.อ.ปรีชา ลาออกจากตำแหน่งสนช.เพื่อไปสมัครเป็น ส.ว.  

ก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งสำคัญของเส้นทางทหารอาชีพนั่ง“ปลัดกระทรวงกลาโหม”

วันที่28 สิงหาคม2558 ได้มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯแต่งตั้งให้พล.อ.ปรีชาดำรงตำแหน่งปลัดกระทรวงกลาโหมแทน พล.อ. ศิริชัย ดิษฐกุล ที่เกษียณอายุราชการโดยดำรงตำแหน่งในวันที่ 1 ตุลาคม พ.ศ.2558

ในขณะดำรงตำแหน่งปลัดกระทรวงกลาโหมพล.อ.ปรีชา ได้มีคำสั่งบรรจุแต่งตั้งบุตรชายของตนเองเข้ารับราชการทหาร โดยเป็นการแต่งตั้งนายปฏิพัทธ์ จันทร์โอชา บุตรชายคนรองที่จบสาขานิเทศศาสตร์ เข้ารับราชการทหารในตำแหน่งรักษาราชการนายทหารปฏิบัติการกิจการพลเรือน กองทัพภาคที่ 3 และติดยศเป็นว่าที่ร้อยตรี

อีกทั้งพล.อ.ปรีชาในฐานะปลัดกระทรวงกลาโหมยังเป็นผู้ลงนามในคำสั่งเมื่อวันที่ 11 เมษายน 2559 ท่ามกลางข้อกังขาจากหลายฝ่ายว่ากรณีดังกล่าวมีการเปิดรับสมัครเข้ารับราชการทหารอย่างเป็นทางการและผ่านขั้นตอนต่างๆเช่น การสอบคัดเลือก,การสอบสัมภาษณ์เข้ามาหรือไม่และมีการวิพากษ์วิจารณ์ถึงความเหมาะสมของการดำเนินการดังกล่าว

“คงเพราะเรานามสกุลจันทร์โอชา เลยโดนเพ่งเล็งทั้งๆที่ลูกนายทหารชั้นผู้ใหญ่ก็มีเข้ามาเป็นนายทหารกันจำนวนมากเมื่อมีตำแหน่งว่าง แต่ก็ไม่อยากคิดว่าเป็นเรื่องการเมือง”พล.อ.ปรีชา ตัดพ้อผ่านสื่อในครั้งนั้นและยืนยันว่าลูกชายมีคุณสมบัติครบถ้วนถูกต้อง หากจะผิดหรือจะโดนโจมตีก็คงเป็นเพราะใช้นามสกุลจันทร์โอชา

กระทั่งกลางเดือนสิงหาคม2560 พล.อ.ปรีชาได้ออกมาเปิดเผยว่าลูกชายคนเล็กได้ลาออกจากราชการทหารแล้วเนื่องจากอยากไปศึกษาต่อด้านสาขานิเทศศาสตร์ที่ประเทศอังกฤษและถูกหลายฝ่ายจับตามองจนทำให้รู้สึกกดดันเนื่องจากเป็นหลานชายของนายกรัฐมนตรี

ปม“ฝายแม่ผ่องพรรณ”

พอเข้าเดือนกันยายน 2559 ถือเป็นอีกครั้งที่ชื่อของ“บิ๊กติ๊ก”ถูกสังคมตรวจสอบอีกครั้งภายหลังจากกรณีที่มีการนำชื่อนางผ่องพรรณ จันทร์โอชา ภรรยาไปตั้งเป็นชื่อฝายใน จ.เชียงใหม่ ซึ่งมีการมองว่าเป็นการใช้ทรัพยากรของรัฐเพื่อประโยชน์ส่วนตนซึ่งนางผ่องพรรณได้ออกมาชี้แจงว่าฝายที่จัดทำขึ้นนั้นเป็นความตั้งใจเพื่อให้ชาวบ้านไว้ใช้ประโยชน์ส่วนการตั้งชื่อฝายเป็นเรื่องที่ชาวบ้านตั้งให้

กรณีบริษัทบุตรชายคนโต

นอกจากนี้ยังมีกรณีที่พบว่าห้างหุ้นส่วนจำกัดคอนเทมโพรารี คอนสตัครชั่น ซึ่งมีนายปฐมพล จันทร์โอชา บุตรชายคนโต พล.อ.ปรีชา เป็นหุ้นส่วนผู้จัดการเป็นคู่สัญญารับเหมาก่อสร้างหน่วยงานในกองทัพภาคที่ 3 หลายโครงการนอกจากนี้ยังถูกตั้งคำถามเรื่องที่บริษัทดังกล่าวมีที่ตั้งอยู่ในบ้านพักข้าราชการ

ซึ่งเรื่องนี้พล.อ.ปรีชา บอกว่าอยากให้สื่อมวลชนไปดูข้อเท็จจริงว่าบุตรชายของตนได้ทำตามขั้นตอนถูกต้องหรือไม่ในฐานะที่ตนเป็นทหารเก่าเขาจะทำอะไรก็แล้วแต่ต้องยึดความถูกต้องและเป็นไปตามระเบียบตามที่หน่วยงานต่างๆกำหนดไว้ไม่ได้ไปวิ่งเต้นหรือใช้เส้นสายหรือการไปประมูลใช้ชื่อของตนหรือของคนอื่น

ล่าสุดก็จะเจอเข้ากับอุปสรรคครั้งใหญ่ในชีวิตเข้าแล้วกับข้อกล่าวหายื่นบัญชีทรัพย์สินเป็นเท็จจะจบลงอย่างไรต้องติดตามชม 

logoline

ข่าวที่น่าสนใจ