
ทำงบฯประจำปีแบบรูทีน-แต่กู้เงินอีก 7 แสนล้าน
รัฐบาลกู้เงินอีก 7 แสนล้าน มาใช้สู้กับวิกฤต โควิด ท่ามกลางเสียงวิจารณ์ถึงความเหมาะสมที่ต้องออกเป็น พ.ร.ก.และห่วงถึงการใช้เงินกู้ว่า อาจมีการรั่วไหล แอบอ้าง เล่นแร่แปรธาตุ รวมถึงคำถามการจัดงบฯประจำปี 65 ที่ยังใช้วิธีการแบบเดิมๆไม่ได้ดูความสำคัญเป็นหลัก
ลับๆล่อๆ สุดท้าย ครม. มีมติ เห็นชอบ พ.ร.ก. กู้เงิน ฉบับใหม่ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอจำนวน 7 แสนล้านบาท เพื่อนำมาสู้กับวิกฤตโควิด หลังจากที่ก่อนหน้านี้ เคยออก พ.ร.ก. กู้เงิน 1 ล้านล้านบาท ในช่วงเกิดโควิด ระบาดครั้งแรกมาแล้วและได้มีการใช้เงินไปเกือบเต็มวงเงินกู้แล้ว
ร่าง พ.ร.ก. กู้เงิน 7 แสนล้าน มีเพียง 4 หน้า จึงถูกมองว่า ไม่มีแผนงานในการใช้เงินหรือรายละเอียดโครงการที่ชัดเจน จะเป็นการตี“เช็คเปล่า” ให้รัฐบาลมากเกินไปหรือไม่และมีความจำเป็นแค่ไหนที่ต้องออกเป็นพระราชกำหนด ( พ.ร.ก.) เพราะอีกไม่กี่วัน สภาฯก็จะเปิดประชุมแล้ว ออกเป็นพระราชบัญญัติ(พ.ร.บ.)เข้าสภาฯตามปกติ หากมีแผนงานในการใช้เงิน รายละเอียดโครงการชัดเจน สภาฯพิจารณาวันเดียว 3 วาระรวด ก็ทำได้ ไม่ได้ล่าช้า แต่สิ่งที่ได้คือผ่านการตรวจสอบจากสภาก่อน
เพราะว่า พ.ร.ก. กู้เงิน 1 ล้านล้านบาท ก่อนหน้านี้ ก็ยังถูกตั้งคำถามว่า ได้ใช้เงินไปตรงกับที่กู้มาเกี่ยวกับ โควิด มากน้อยแค่ไหน
อย่าง “ชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ” ตั้งข้อสังเกตว่า มีหลายโครงการที่อ่านแล้วไม่แน่ใจว่าเกี่ยวกับโควิด ได้อย่างไร เช่น โครงการเฝ้าระวังสร้างแนวกันไฟสร้างรายได้ชุมชน 246 ล้านบาท, โครงการพัฒนาศักยภาพแหล่งเรียนรู้ด้านสัตว์ป่า 741 ล้านบาท เป็นต้น
ส่วนเหตุผลของกระทรวงการคลังผู้ชงเรื่องต่อ ครม. อ้างว่าเนื่องจากการระบาดของโควิด-19 ยังคงส่งผลกระทบต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยอย่างต่อเนื่อง ในขณะที่ประเทศยังคงมีความต้องการใช้จ่ายเพื่อฟื้นฟูและปรับโครงสร้างทางเศรษฐกิจ รวมทั้งมีข้อจำกัดของการจัดทำงบประมาณรายจ่ายเพื่อการเยียวยา ฟื้นฟู และปรับโครงสร้างทางเศรษฐกิจ
ประกอบกับเมื่อพิจารณาถึงแหล่งเงินอื่นๆที่สามารถนำมาใช้ในการแก้ปัญหาเศรษฐกิจและสังคมจากโควิด-19 แล้ว พบว่า มีข้อจำกัดทั้งในส่วนของวงเงินกู้เดิมที่เริ่มมีการเบิกจ่ายจำนวนมากในทุกแผนงาน ทั้งในส่วนของสาธารณสุขที่ต้องมีการจัดซื้อเครื่องมือแพทย์ และวัคซีนเพิ่มเติม
ขณะที่ในงบกลางฯที่มีการตั้งไว้ในปี 2564 วงเงิน 9.9 หมื่นล้านบาทยังมีความจำเป็นต้องสำรองไว้ใช้กรณีที่อาจเกิดผลกระทบหรือภัยพิบัติอื่นๆที่อาจเกิดขึ้นเช่น อุทกภัย ภัยแล้ง และภัยพิบัติอื่นๆ
ส่วนการโอนงบประมาณในปีงบประมาณ 2564 นั้นหน่วยงานส่วนใหญ่ได้มีการผูกพันงบประมาณไปจำนวนมากแล้วการโอนงบประมาณกลับมาใช้เรื่องโควิดจึงทำไม่ได้มากนัก ขณะที่ในกรอบงบประมาณ 2565 ก็จะอนุมัติบังคับใช้ได้ในเดือน ต.ค.ซึ่งอาจจะไม่ทันต่อสถานการณ์
นั่นเป็นรายงานที่กระทรวงการคลัง เสนอต่อ ครม.
ที่จริงแล้วเรื่องกู้เงินมาใช้กับวิกฤต“โควิด”ไม่ค่อยมีใครค้านกัน เพราะทั่วโลกก็ใช้วิธีกู้เงินมาสู้กับ“โควิด”
แต่ที่เขาห่วงกัน คือ การใช้เงินกู้ที่ไม่ตรงวัตถุประสงค์ ไม่โปร่งใส มีการรั่วไหล แอบอ้างไปใช้กับเรื่องอื่นที่ไม่เกี่ยวกับ โควิด เพราะว่าเงินกู้เหล่านี้สุดท้ายประชาชนต้องเป็นคนจ่ายคืนทุกบาท จึงต้องใช้ให้คุ้มค่า และเกิดประโยชน์กับประชาชนจริงๆ
ในขณะที่หันไปมอง ร่าง พ.ร.บ.งบประมาณ ฯ ปี 2565 จำนวน 3.1 ล้านล้านบาท ที่เตรียมเข้าสภาฯวาระแรก ก็ยังมีการจัดสรรงบฯแบบเดิมๆ ตามสัดส่วนที่หน่วยงานต่างๆขอมาทุกปี
เราจึงเห็นงบฯกระทรวงสาธารณสุขที่ขออยู่ที่ 1.53 แสนล้านบาท น้อยกว่างบฯของกระทรวงกลาโหมจำนวน 2.03 แสนล้านบาท
ที่จริงแล้วในภาวะพิเศษที่ประเทศเผชิญกับวิกฤต โควิด เช่นนี้ การจัดทำงบประมาณประจำปี ต้องคิดนอกกรอบ เช่น ทุ่มงบฯไปที่กระทรวงสาธารณสุขและกระทรวงเกี่ยวกับเศรษฐกิจ “กันเงิน”ส่วนนี้ไว้เลย ส่วนที่เหลือค่อยเจียดไปให้กระทรวงที่ไม่เกี่ยวกับ “โควิด”
“คุณหญิงสุดารัตน์” บอกว่า งบประมาณในปี 2565 ยังสามารถตัดมาเพื่อทุ่มซื้อ ”วัคซีน” คุณภาพดี และใช้ในการเยียวยาฟื้นฟูเศรษฐกิจได้อีกอย่างน้อย 15% หรือเกือบ 500,000 ล้านบาท
เพราะว่าถ้าเราจัดสรรงบประมาณประจำปี โดยมองถึงภาวะวิกฤตของประเทศเป็นหลัก เราอาจไม่ต้องกู้เงินเพิ่มอีก7 แสนล้านบาท หรือไม่ต้องกู้จำนวนมากขนาดนี้ ก็เป็นได้



