โควิด วิกฤติศรัทธา กองทัพ

 

 

                  5 มี.ค.2563-ทุกวันนี้ประชาชนจะได้เห็นภาพ ทหารทุกเหล่าทัพ ระดมสรรพกำลังทั้งหมดช่วยกันทำความสะอาด 'พ่น ล้าง ฉีด'สถานที่เสี่ยงของพื้นที่ กทม.และ ต่างจังหวัดในทุกค่ำคืน ส่วนช่วงกลางวัน ก็ผลัดกันเหยียบเครื่องจักร ผลิตหน้ากากอนามัยผ้า นำไปแจกจ่ายประชาชน เพื่อยับยั้งและสกัดการแพร่ระบาดไวรัสโควิด-19 ที่นับวันทวีความรุนแรง หากยึดตาม
สติถิผู้ป่วย และ จำนวนผู้เสียชีวิต

 

 

             รวมถึงการจัดเตรียมโรงพยาบาลทหาร สถานที่ในค่าย ดัดแปลงเป็นโรงพยาบาลสนาม รองรับผู้ป่วยที่มีจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ ในขณะที่ทหารอีกส่วนหนึ่ง ก็เตรียมแผนงานสนับสนุนการทำงานของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม ในฐานะ ประธานศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อโควิด-19 หรือ ศบค. เพื่อหาวิธีคลี่คลายปัญหาให้จบไวที่สุด รวมถึงการดูแลประชาชนที่ได้รับผลกระทบอย่างทั่วถึง

 

 

              และที่สำคัญ ทุกเหล่าทัพ ยังย้ำเตือนกำลังพล ให้ปฏิบัติภารกิจอื่นๆที่เกี่ยวข้องกับความเดือดร้อนของประชาชนในทุกพื้นที่ควบคู่กันไป ทั้งเรื่องปัญหาภัยแล้ง,การแก้ปัญหาไฟป่าในภาคเหนือ งานด้านชายแดนให้ครอบคลุมทุกมิติ  ทั้งหมดทั้งมวลนี้ กองทัพ หวังพลิกวิกฤติให้เป็นโอกาสเรียกความเชื่อมั่น และศรัทธาจากประชาชน ที่สูญเสียไปจากการแพร่ระบาด 'โควิด-19'

 

 

               เพราะ 'กองทัพ' เล็งเห็นว่า 'ไวรัสโควิด-19'ไม่เพียงแต่ทำลายสุขภาพคนไทยทั้งประเทศ แต่ยังหมายรวมถึง เศรษฐกิจ สังคม ชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนที่พลิกจาก'หน้ามือเป็นหลังมือ'ในห้วงเวลาเพียงไม่กี่เดือน โดยเฉพาะหนึ่งในสถานที่สำคัญ ที่มีส่วนให้เกิดการแพร่กระจายของเชื้อโรคมาจาก การจัดแข่งมวยที่ 'สนามมวยลุมพีนี'เมื่อวันที่ 6 มี.ค.ที่ผ่านมา

 

 

             'กองทัพบก'ภายใต้การนำของ "บิ๊กแดง" พล.อ.อภิรัชต์ คงสมพงษ์ ผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.)ไม่อาจจะปฏิเสธความรับผิดชอบได้ แม้จะมีเสียงอุทรณ์ดังเล็ดลอดออกมา ว่า บรรดาเซียนมวย ,ผู้ชม อาจติดโรคมาจากสนามมวยที่อื่น ก่อนจะเข้ามา 'สนามมวยลุมพีนี' แต่ทั้งนี้หากผู้มีส่วนเกี่ยวข้องปฏิบัติตามคำแนะนำของ สำนักงานคณะกรรมการกีฬามวย การกีฬาแห่งประเทศไทย (กกท.)ที่ขอให้ระงับการจัดกิจกรรมดังกล่าว ก็คงไม่ตกเป็น 'แพะรับบาป' ดังเช่นทุกวันนี้

 

 

             แม้ พล.อ.อภิรัชต์ ออกมาแอ็กชั่น ด้วยการสั่งย้ายเพื่อนรัก พล.ต.ราชิต อรุณรังษี เจ้ากรมสวัสดิการทหารบก เข้ามาช่วยราชการภายในกองบัญชาการกองทัพบก รวมถึง นายทหารที่เกี่ยวข้อง พร้อมตั้งคณะกรรมการตรวจสอบ

 

 

             " กำลังพลที่ปฏิบัติในเรื่องร้ายแรง เมื่อปรับย้ายมาประจำแล้ว จะไม่สามารถกลับมาปฏิบัติในตำแหน่งเดิมได้อีก ส่วน ผบ.หน่วยต้องมีความตั้งใจที่ดีในการปฏิบัติงานและต้องดูแลผู้ใต้บังคับบัญชาให้ดีด้วย" แหล่งข่าวอ้างถึงคำพูด พล.อ.อภิรัชต์ ในที่ประชุมศูนย์ปฏิบัติการกองทัพบก (ศปก.ทบ.)

 

         แต่นั้น ก็ไม่ได้ทำให้ภาพลักษณ์ของ 'กองทัพบก' ดีขึ้นในสายตาของสังคม เพราะ 'ไวรัสโควิด-19' แพร่กระจายไปอย่างรวดเร็ว ทั่งใน กทม. และลามไปสู่ต่างจังหวัด โดยผู้ติดเชื้อส่วนใหญ่ ที่มีประวัติเกี่ยวพันธ์กับ 'สนามมวยลุมพีนี'

 

 

             และไม่เพียงแต่คนนอกเท่านั้น กำลังพล ในกองทัพบก เอง ตั้งแต่ระดับสัญญาบัตรและชั้นประทวน ทยอยติดเชื้อเป็นว่าเล่น  และถูกกักตัวในที่พัก ส่วนใหญ่อาศัยในแฟลต ที่มีทหารอาศัยเป็นจำนวนมาก และแต่ละห้องก็มีพื้นที่จำกัด จึงทำให้เกิดการแพร่เชื้อไปสู่บุคคลในครอบครัว และคนข้างเคียง เช่น กรณี ทหารหญิงกรมสารบรรณทหารบก ติดจากสามี ที่ไปสนามมวยลุมพีนี,นายทหารนายสิบ ติดจากบิดา ก็ไปสนามมวยมาเช่นกัน

 

 

               ส่วน 'กองทัพเรือ'ซึ่งก่อนหน้านี้ได้รับเสียงชื่นชมจากประชาชนอย่างท่วมท้น ที่ใช้อาคารบ้านพักรับรอง ในฐานทัพเรือสัตหีบ กักตัว 'ผีน้อย'ที่กลับมาจากประเทศเสี่ยงติดเชื้อ แต่ก็มา'ตกม้าตาย'ทันที พล.อ.ชัยชาญ ช้างมงคล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม เสนอคณะรัฐมนตรี (ครม.)เมื่อวันที่ 31 มี.ค. เพื่อขออนุมัติ ให้กองทัพเรือ ดำเนินการในเรื่องที่เกี่ยวข้องกับโครงการจัดหาเรือเอนกประสงค์ยกพลขึ้นบกขนาดใหญ่ สนับสนุนการปฏิบัติการเรือดำน้ำระยะที่1 จำนวน 1 ลำ

 

                ท่ามกลางเสียง 'ก่นด่า'ของประชาชน ที่อยู่ในสภาวะลำบากจากสภาพเศรษฐกิจ ที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดไวรัสโควิด-19 ที่ทำให้หลายคน ตกงาน ถูกลดเงินเดือน จนในที่สุดวาระดังกล่าวก็ถูกถอนออกจาก ครม. แต่เสียงวิพากษ์วิจารณ์ ถึงความไม่เหมาะสม และไม่คำนึงถึงห้วงเวลา ก็ยังคงอยู่

 

 

               ความพยายามของ 'เหล่าทัพ' ที่ระดมทุกวิถีทาง ช่วยรัฐบาลกู้วิกฤติโควิด-19 ให้คลี่คลายโดยเร็วที่สุด เพื่อหวังให้ วิกฤติศรัทธาของประชาชนที่มีต่อ 'กองทัพ' จะเบาบางลง