คอลัมนิสต์

สู้วิกฤติโควิด-19 ลดเครียดในผู้สูงวัยและครอบครัว

เกาะติดข่าวสาร >> คมชัดลึก ออนไลน์
logoline

จิตเป็นกายนายเป็นบ่าว...ลองถามตัวเองดูว่าทำอะไรแล้วสุขภาพจิตของเราและคนรอบข้างดีขึ้น บางคนอาจชอบดูหนัง ชอบทำอาหาร เลี้ยงสัตว์ ประเด็นก็คือทำอะไรที่ทำแล้วมีความสุข ในช่วงเก็บตัวได้ก็ทำเลย อย่าไปแคร์ว่ามีสาระ ไม่มีสาระ

         สถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ก่อให้เกิดความวิตกกังวลอย่างมากต่อประชาชน เนื่องจากโควิด-19 เป็นโรคใหม่ เรามักกลัวสิ่งที่่ไม่รู้ และเลยเถิดไปจนถึงการแสดงความรู้สึกกลัว รังเกียจคนป่วย จนกลายเป็นความวิตกกังวล ความขัดแย้งภายในจิตใจและความเครียด ซึ่งส่งผลกระทบต่อจิตใจของบุคคลในครอบครัวโดยเฉพาะผู้ใหญ่และเด็ก แล้วเราจะทำให้อย่างไรให้ครอบครัวเข้มแข็งรับมือกับสถานการณ์โควิด-19 อย่างมีสติ?

        “แต่ละคนมีปฏิกิริยาที่ตอบสนองต่อความเครียดแตกต่างกันตามสถานการณ์ โดยการตอบสนองดังกล่าวของบุคคลมาจากพื้นฐานทางร่างกาย จิตใจและสิ่งแวดล้อมของบุคคลในครอบครัว ดังนั้นการจัดการกับความเครียดจะช่วยให้สมาชิกในครอบครัวสามารถข้ามผ่านวิกฤติทางด้านจิตใจนี้ไปได้” อาจารย์ ดร.สุดาพร สถิตยุทธการ สาขาการพยาบาลจิตเวชและสุขภาพจิต คณะพยาบาลศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าว

       ความเครียดเกิดจากถูกกระทบจากสิ่งเร้าที่มากระตุ้นจากภายนอกและภายจากในตนเอง แต่ความเครียดก็อาจจะเป็นกลไกที่สามารถกระตุ้นบุคคลให้มีการปรับตัวและมีเพิ่มแรงต้านทาน “การมีความเครียดเปรียบเสมือนสัญญาณเตือนภัยที่ทำให้คนเราเตรียมรับมือกับสถานการณ์ที่กำลังเกิดขึ้น แต่กลับกันหากสัญญาณเตือนภัยนี้ทำงานมากเกินไปอาจกลายเป็นโรคเครียดสะสมได้ ความเครียดเรื้อรังจะเป็นสาเหตุทำให้เกิดโรคทางกายและทางจิตได้” ดร.สุดาพร กล่าว

สู้วิกฤติโควิด-19 ลดเครียดในผู้สูงวัยและครอบครัว

ดร.สุดาพร สถิตยุทธการ

       จิตเป็นกายนายเป็นบ่าว อาการความเครียดที่แสดงในผู้สูงวัยอาจปรากฏต่อร่างกาย คือ การหายใจถี่ หายใจสั้น กล้ามเนื้อตึงเครียดทั้งบริเวณต้นคอ แขน ขา กล้ามเนื้อกระตุก ผุดลุกผุดนั่ง แบบแผนของการรับประทานอาหารและการนอนหลับเปลี่ยนแปลงไป มีความยุ่งยากในการนอนและความสนใจในสิ่งรอบตัวน้อยลง บางคนที่ป่วยมีโรคประจำตัวก็จะมีอาการเพิ่มมากขึ้น ส่วนผลต่อจิตใจได้แก่ คือ หงุดหงิด ขาดสมาธิ ควบคุมอารมณ์ไม่ค่อยได้ ตัดสินใจในเรื่องต่างๆ ได้แย่ลง แม้กระทั่งเรื่องง่ายๆ ที่เคยตัดสินใจได้ก็ทำไม่ได้ ความกลัวและกังวลเกี่ยวกับสุขภาพตนเองและบุคคลที่ตนเองรักอย่างมาก

       “ทั้งๆ ที่มีผู้หายป่วยจากโรคนี้มากมาย แต่ผู้สูงอายุบางคนเชื่อว่าถ้าเป็นโรคนี้จะต้องตายแน่ๆ แล้วก็จะคิดเน้นอยู่กับสิ่งที่ตัวเองกังวล ไม่ว่าจะอธิบายให้ข้อมูลอย่างไรก็จะเลือกรับเฉพาะสิ่งที่ตัวเองเชื่อ จะตีกรอบเฉพาะเรื่องที่ตัวเองเป็นห่วง ดังนั้นบุตรหลานต้องรับฟังด้วยความเข้าใจ ให้ท่านระบายความไม่สบายใจ แต่ในขณะเดียวกันก็ให้ข้อเท็จจริง มีรูปภาพประกอบ มีหลักฐานที่เห็นแสดงถึงวิธีการป้องกัน หรือพยายามหันเหความสนใจให้ดูทีวีรายการอื่นๆ อื่นเบี่ยงเบนไปทำอย่างอื่นที่สร้างสรรค์ ทำกิจกรรมงานอดิเรกที่ชื่นชอบและปลอดภัย”  
      และถึงแม้ว่าผู้สูงอายุโดยปกติมักจะกลัวการเจ็บป่วยและระมัดระวังตัวเองอยู่แล้ว แต่ก็ยังมีผู้สูงอายุที่ไม่ยอมฟังและดื้อดึง ทำตามใจเพราะถือว่ารู้มากกว่า ก็ต้องพยายามเข้าใจหลักการป้องกันตัวเพื่อประโยชน์ของตัวเอง

      “ผู้ใหญ่บางท่านยิ่งอายุมากก็ยิ่งจะมีพฤติกรรมถดถอยเหมือนเด็ก เตือนให้กินอาหารร้อน หรือล้างมือก็จะถามว่าทำไม ดังนั้นจึงอาจจะต้องมีการอธิบาย เช่นบอกว่า ถ้าไม่ป้องกันตัวเองก็จะมีผลดีผลเสียต่อไปนี้ หากป่วยผลกระทบที่จะเกิดก็จะรุนแรงมากกว่าวัยอื่นเป็นต้น แต่ถ้าขู่ให้กลัวมากเกินไปก็จะทำให้เกิดความเครียด ความกลัวมากขึ้น จึงต้องทำอย่างพอดี เหมาะสม”
      ดร.สุดาพร เสริมว่า เป็นธรรมดาของโลกที่ว่า คนเราเกิดมาต้องพบปะเจอะเจอความขัดแย้ง ภาวะวิกฤติ จึงต้องหัดเรียนรู้จัดการกับอารมณ์ความรู้สึกหรือความเครียดภายในจิตใจ แต่ในกรณีโควิด-19 นี้ เราอาจจะยังไม่สามารถจัดการกับสถานการณ์ภายนอกแบบนี้ได้เพราะเป็นเรื่องใหม่สำหรับทุกคน ดังนั้นก็ควรมาจัดการที่ตัวเองซึ่งเป็นเรื่องที่ทำได้ง่ายทันที เช่นหมั่นดูแลสุขภาพกาย ป้องกันตัวเอง สำหรับด้านสุขภาพจิต ก็รู้จักให้ “กำลังใจ” และ “ฝึกเมตตา” แก่ตนเองและครอบครัว ให้ฝ่าฝันวิกฤติและผลกระทบต่อเศรษฐกิจและสังคมของสมาชิกในครอบครัวไปด้วยกัน
     “หากพบคนในครอบครัวป่วยด้วยโรคนี้ก็ไม่ควรซ้ำเติม แต่ให้กำลังใจแล้วก็มีการสนับสนุนให้รักษาตัว เพราะไม่มีใครอยากเป็น ไม่มีใครอยากติด มันอาจจะเป็นอุบัติเหตุในชีวิตที่เกิดขึ้นได้กับทุกคน อย่าให้อาการของโรคมาสร้างความกดดันให้กับผู้ป่วยหรือผู้ที่อยู่รอบข้าง แต่ควรจะเน้นเรื่องของการดำเนินชีวิตและก็การใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันอย่างปลอดภัย ไม่แพร่กระจายเชื้อ” ดร.สุดาพร กล่าว
     การตีตราแสดงความรังเกียจว่าผู้ป่วยเป็นพาหะนำโรคก็ไม่ได้ช่วยให้กระบวนการรักษาดีขึ้นกลับจะเป็นการผลักผู้ป่วยให้ออกไปเผชิญโรคตามลำพัง ผู้ป่วยก็จะยิ่งไม่กล้าบอกความจริง เพราะกลัวว่าสังคมจะไม่เข้าใจ ปกปิดประวัติแล้วก็ยิ่งทำให้คนคนรอบข้างไม่ระวังตัว ดังนั้นต้องเปลี่ยนวิธีคิดและฝึกเมตตาว่าผู้ป่วยเป็นผู้ที่ต้องการความช่วยเหลือ ถ้าเราละเลยเขาจะไม่หายเอง ถ้าเราไม่สนใจช่วยเหลือก็จะยิ่งผลักไสเขาออกไป ยิ่งทำให้เป็นปัญหามากขึ้น
       การลดความเครียดในช่วงเวลากักตัวอยู่บ้าน หรือทำงานที่บ้านก็จำเป็น หลายท่านที่ทำงานนอกบ้านมาตลอดอาจจะรู้สึกอึดอัดที่ไม่ได้ออกไปเจอผู้คนอย่างที่เคยทำมาทุกวัน ดังนั้นการหากิจกรรมที่สร้างสรรค์ในบ้านทำเป็นสิ่งที่จะช่วยมากขึ้น  

       “ลองถามตัวเองดูว่าทำอะไรแล้วสุขภาพจิตของเราและคนรอบข้างดีขึ้น บางคนอาจชอบดูหนัง ชอบทำอาหาร เลี้ยงสัตว์ ประเด็นก็คือทำอะไรที่ทำแล้วมีความสุข ในช่วงเก็บตัวได้ก็ทำเลย อย่าไปแคร์ว่ามีสาระ ไม่มีสาระ ถ้าไม่ได้เป็นการแพร่เชื้อ รับเชื้อ ตัวเองทำแล้วมีความสุขก็ทำเลยค่ะ”
       สิ่งสุดท้ายที่จะช่วยลดความเครียดก็คือการเสพข่าวอย่างมีสติ “ข่าวเกี่ยวกับ โควิด-19 มีให้ฟังทุกวัน อาจจะดูร้ายแรง ฟังแล้วเครียด เพราะเราอยู่แต่บ้านทั้งวัน ฟังแต่ข่าวร้ายไม่ได้ออกไปไหน แต่อยากให้ฟังอย่างมีสติ ตรวจสอบความน่าเชื่อถือ ก่อนแชร์ข้อมูล ข่าวอะไรที่ทำให้เครียดก็หลีกเลี่ยง อย่าไปเชื่อไปทำตามข่าวโซเชียล หรือข่าวเท็จ สำคัญที่สุดก็คือ “อยู่บ้าน หยุดแพร่เชื้อ หยุดรับเชื้อ” เพื่อตัวเราและครอบครัวค่ะ”

logoline
แท็กที่เกี่ยวข้อง

ข่าวที่น่าสนใจ