เช็กผู้มีสิทธิ์ลงทะเบียนรับ 5,000 จากพิษโควิด
หลังมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 24 มีนาคม 2563 โดยกระทรวงการคลังได้ออกมาตรการช่วยเหลือเยียวยาลูกจ้างที่ได้รับความเดือดร้อนได้รับผลกระทบจากการ “สั่งปิดกิจการ” ในช่วงที่เกิดเหตุระบาดโควิด-19
ซึ่งรัฐบาล โดย สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายเศรษฐกิจ แถลงถึงการเตรียมมาตรการเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ หรือ “โควิด-19” ในระยะที่ 2 หลังนายกรัฐมนตรี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ประกาศใช้พ.ร.ก.ฉุกเฉิน เพื่อคุมการแพร่ระบาดโควิด-19
โดยเฉพาะที่สำคัญคือการชดเชยรายได้ให้กลุ่มแรงงานที่น่าจะเดือดร้อนหนักที่สุด ซึ่งรัฐจัดให้ 5,000 บาทต่อคนต่อเดือน ระยะเวลา 3 เดือน
แต่งานนี้มองดูแล้วคนไทยส่วนใหญ่ยังงงๆ มึนๆ ว่าตกลงแล้ว ใครมีสิทธิ์บ้าง คุณสมบัติอย่างไร วิธีการ และช่องทางการรับเงินเป็นแบบไหนกันแน่
วันนี้มาสรุปให้เข้าใจง่ายๆ อีกครั้ง เพื่อให้เงิน 5,000 บาท ถึงมือผู้ที่มีคุณสมบัติทุกคนดังนี้
+++
คนที่มีสิทธิ์
ดังที่รู้ เพราะสถานการณ์การแพร่ระบาดไวรัสโคโรนา หรือ โควิด 19 ที่ขยายวงกว้างมากขึ้นเรื่อยๆ ทั่วโลกและในประเทศเราตอนนี้
ไม่ต้องพูดเรื่องผลต่อสุขภาพของประชาชนที่หนักหนาสาหัส แต่ยังกระทบต่อภาคเอกชน ธุรกิจ ห้างร้านต่างๆ ทุกประเภท
ยิ่งพอมีประกาศให้ปิดสถานที่ที่มีความเสี่ยง หรือสถานที่ที่มีคนแออัด เสี่ยงต่อการแพร่กระจายเชื้อหลายแห่ง ยิ่งส่งผลให้แรงงานที่อยู่นอกระบบประกันสังคม และลูกจ้าง หรือลูกจ้างชั่วคราว ได้รับผลกระทบจำนวนมาก
จนเมื่อรัฐก็ได้ออกมาตรการช่วยเหลือกลุ่มคนกลุ่มนี้ ก็นับเป็นข่าวดียิ่ง โดยรัฐบาลจะชดเชยรายได้ให้ 5,000 บาทต่อคนต่อเดือน ระยะเวลา 3 เดือน คือ เมษายน-มิถุนายน 2563 โดยให้เข้าไปลงทะเบียนขอรับสิทธิฺที่ www.เราไม่ทิ้งกัน.com
ทั้งนี้ ทศพล กฤตวงศ์วิมาน เลขาธิการสำนักงานประกันสังคม ระบุว่า ผู้ที่มีสิทธิ์ลงทะเบียนเราไม่ทิ้งกันขอรับเงินเยียวยาดังกล่าว ได้แก่
ผู้ประกันตนมาตรา 39 (อดีตลูกจ้างที่เคยเป็นผู้ประกันตนมาตรา 33 มาอย่างน้อย 12 เดือน และสมัครส่งเงินสมทบต่อภายใน 6 เดือน นับจากวันที่ออกจากงาน) อธิบายง่ายๆ ว่าคนที่ตกงานแล้วแต่ยังพร้อมส่งเงินสมทบกองทุนประกันสังคมโดยสมัครใจ
ผู้ประกันตนมาตรา 40 (อาชีพอิสระ/แรงงานนอกระบบ) คือคนที่ไม่มีนายจ้าง เป็นนายตัวเอง ชีวิตลุ้นที่สุด เช่นพ่อค้า แม่ขาย ฯลฯ
ส่วนผู้ประกันตนมาตรา 33 (ลูกจ้างในสถานประกอบการ/พนักงานเอกชน) ที่ยังจ่ายเงินสมทบไม่ครบ 6 เดือน จึงยังไม่มีสิทธิ์รับเงินกรณีว่างงาน ก็สามารถรับเงิน 5,000 บาท ได้เช่นกัน
พูดง่ายๆ ว่าทั้งหมดนี้ครอบคลุมแรงงาน 3 กลุ่ม คือ 1.แรงงาน 2.ลูกจ้างชั่วคราว 3.อาชีพอิสระที่ไม่อยู่ในระบบประกันสังคม ที่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19
โดยมีการคาดว่า 3 กลุ่มนี้มีจำนวนกว่า 3 ล้านคน เพราะคนกลุ่มนี้โลดแล่นอยู่ในระบบธุรกิจที่ส่วนใหญ่ถูกสั่งปิดเพราะโควิด-19 นั่นแหละ ไม่ว่าจะสนามมวย สถานบันเทิง ร้านอาหารกลางคืน ผับ บาร์ ร้านนวด ร้านสปา โรงภาพยนตร์ รวมถึงสนามกีฬา และห้างสรรพสินค้าต่างๆ ฯลฯ
ส่วนผู้ที่ยกเว้นที่จะได้รับสิทธิ์ดังกล่าว ได้แก่ ข้าราชการ ข้าราชการบำนาญ เกษตรกร (กลุ่มนี้ได้รับการช่วยเหลืออื่นๆ จากรัฐบาลอยู่แล้ว) และผู้ประกันตนมาตรา 33 (ที่รับเงินว่างงาน)
++
มีสิทธิ์แล้วทำไง
เมื่อเช็กแล้วพบว่าตนเองมีสิทธิ์ตามข้างต้น ก็จะต้องเตรียมเอกสาร ได้แก่ 1.บัตรประจำตัวประชาชน 2.ข้อมูลส่วนบุคคล 3.ข้อมูลนายจ้าง
เมื่อเตรียมเอกสารแล้ว ก็เริ่มดำเนินการได้ ซึ่งมี 2 วิธี ได้แก่ 1.การเข้าไปลงทะเบียนในเว็บไซต์ www.เราไม่ทิ้งกัน.com
2.ลงทะเบียนผ่านสาขาธนาคารรัฐ ได้แก่ ธนาคารออมสิน ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร และธนาคารกรุงไทย โดยต้องเตรียมเอกสารตามข้างต้น และมีข้อมูลปัญหาความเดือดร้อน และข้อมูลบัญชีพร้อมเพย์ หรือบัญชีธนาคาร มาด้วย จากนั้นเดินเข้าไปยังธนาคารดังกล่าวนี้ แล้วแจ้งเจ้าหน้าที่เลยว่า มาเพื่อลงทะเบียนเพื่อรับเงินชดเชยผลกระทบจากโควิด-19
หากใครมีคุณสมบัติครบ ลงทะเบียนเรียบร้อยก็จะได้รับเงินภายใน 5 วันหลังลงทะเบียน ซึ่งช่องทางการรับเงิน มีทั้ง 1.พร้อมเพย์ (PromptPay) ที่ผูกกับเลขบัตรประชาชน หรือ 2.เลือกรับเงินโดยผ่านบัญชีธนาคาร
ส่วนแรงงานที่อยู่ในระบบประกันสังคม มีการจ่ายเงินสมทบเข้ากองทุนประกันสังคมทุกเดือน ในกลุ่มนี้ไม่ต้องเข้าไปลงทะเบียน แต่หากในกรณีที่นายจ้างไม่ให้ทำงาน จะได้รับสิทธิประโยชน์ 50% เป็นเวลาไม่เกิน 180 วัน และหากหน่วยงานภาครัฐ มีคำสั่งให้หยุดกิจการชั่วคราว ผู้ประกันตนจะได้รับเงินไม่เกิน 90 วัน
ทั้งนี้การให้เงินช่วยเหลือแรงงานนอกระบบที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโควิด-19 คนละ 5,000 บาท จะมีระยะเวลา 3 เดือน ตั้งแต่เดือนเมษายน-มิถุนายน 2563 จะให้เริ่มลงทะเบียนผ่านเว็บไซต์ WWW.เราจะไม่ทิ้งกัน.com ในวันเสาร์ที่ 28 มีนาคม 2563 ตั้งแต่เวลา 08.00 น. เป็นต้นไป
แอบกระซิบดังๆ ว่า ผู้ลงทะเบียนไม่จำเป็นต้องแย่งมาลงทะเบียน หรือตั้งนาฬิกาปลุกมาลุ้นกันตีสองตีสามจนเว็บล่ม เพราะรัฐไม่ได้พิจารณาใครมาก่อนได้ก่อน ทุกคนมีสิทธิ์เท่ากันหากเข้าเงื่อนไข เข้าใจตรงกันนะ!
ข่าวที่เกี่ยวข้อง