"อย่านำวิกฤติมาหาแต้ม" คอลัมน์วงในวงนอก โดย สถิตย์ ธรรม
วันนี้ สังคมไทยต้องรับมือกับมาตรการเข้มที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา งัดมาใช้ในการควบคุมสถานการณ์ไวรัสโควิด-19 คือ "พ.ร.ก.บริหาราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน”
เมื่อวานนี้ (25 มี.ค.) นายกฯ ประเดิมลงนาม 16 ข้อกำหนดไปแล้ว เช่น ห้ามเข้า ห้ามกักตุน ห้ามเสนอข่าวเท็จ ฯลฯ หาอ่านรายละเอียดทั้งหมดได้ที่ www.เนชั่นสุดสัปดาห์ออนไลน์ นะครับ แต่ที่น่าสนใจ ยังไม่มีประกาศเคอร์ฟิว หรือการเข้าออกเคหสถานตามกำหนดเวลา และยังให้เดินทางข้ามจังหวัดได้เท่าที่จำเป็นโดยต้องผ่านการคัดกรอง
นั่นเป็นตัวอย่างนำร่องของกฎอาญาสิทธิ์เพื่อหวังหยุดการแพร่ระบาดไวรัสโควิด-19 ให้ได้
แต่ทว่า เมื่อหลายวันก่อน ประชาชนแห่ไปใช้บริการระบบขนส่งสาธารณะเพื่อกลับภูมิลำเนาเนื่องจากต้องหยุดงาน รวมทั้งการไปซื้อหาเครื่องอุปโภคบริโภคมาตุนไว้ในครัวเรือน เพราะเกรงว่าในเร็ววันข้างหน้าจะหาซื้อลำบาก
เพียงเท่านี้มันสะท้อนความตระหนกของสังคมได้แบบไม่ต้องตีความกันมากมาย เพราะมันคือเครื่องยืนยันแล้วว่ายามใดที่ภาครัฐออกมาตรการแบบไม่ชัดแจ้ง ความวุ่นวายจะตามมาและจะโทษประชาชนที่เลือกวิธีเอาตัวรอดในแนวทางที่พอจะทำได้ แม้บางอย่างจะสะท้อนภาพว่าตระหนกเกินเหตุก็ไม่ถูก เพราะข่าวสารเกี่ยวกับมาตรการต่างๆ ในการรับมือไวรัสมรณะมาจากภาครัฐทั้งสิ้น
พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ที่นายกฯ นำมาใช้คราวนี้นับเป็นครั้งแรกที่ใช้เกี่ยวกับโรคระบาดและต้องดูว่าสังคมจะยอมรับและปฏิบัติตนอย่างเคร่งครัดหรือไม่ เพราะบทกำหนดโทษสำหรับคนที่ฝ่าฝืนนั้นนับว่ารุนแรง
แต่เอาเข้าจริงแล้ว การบริหารประเทศในช่วงไวรัสมรณะตัวนี้รุกคืบเข้ามาในประเทศหละหลวมหลายประการ กว่าจะงัดกฎเหล็กมาใช้ก็ล่าช้า เพราะตอนนี้ยังไม่รู้เลยว่าบุคคลที่สุ่มเสี่ยงสัมผัสกับไวรัสมรณะตัวนี้มาพบแพทย์และกักตัว 14 วันกันกี่ราย
สังคมวิตกจริตกับการบริหารงานในช่วงก่อนหน้านี้มาก นับตั้งแต่หน้ากากอนามัยขาดแคลน แต่กลับโผล่เพียบในโลกออนไลน์, การปล่อยข่าวเท็จหลากกรณีในหลายรูปแบบ, ผีน้อยแหกด่านตม. และเซียนมวยเข้าไปในเวทีจนเป็นพาหะกระจายเชื้อทั่วไทย, ความขัดแย้งระหว่างส่วนราชการรวมทั้งฝ่ายการเมืองด้วยกัน, ภาวะเศรษฐกิจหัวทิ่มและช็อกไปดื้อๆ โดยมาตรการการช่วยเหลือของภาครัฐช้าเกินกาล
เอาล่ะ! ยามนี้ นายกฯ ติดอาวุธหนักไว้ในมือของตัวเองแล้วเพื่อควบคุมสถานการณ์บนความเสี่ยงสองแพร่งของบ้านเมือง คือ รอดหรือไม่รอด
ความร่วมมือของคนไทยเท่านั้นที่จะตอบคำถามข้างต้นได้กระจ่าง
ไม่ได้เชียร์กัปตันลุงตู่ แบบออกหน้าออกตาเพราะหลากวาระนั้น นายกฯ แก้เกมช้าเกินกาลและควรไปตัดสินหลังวิกฤตินี้ผ่านไปตามครรลองประชาธิปไตย เพราะไม่มีชาติใดในโลกมาไล่ผู้นำยามที่ลมหายใจของคนในชาติทยอยลดลง
ยามนี้คนไทยควรจับมือและหันหน้าไปในแนวทางเดียวกันเพื่อลดความสูญเสียและอย่าให้น้ำหนักกับบางเสียงที่กระจายความออกมาเพื่อหวังผลบางด้านแบบเกินงาม
แต่ยามนี้ก็ยังมีบางฝ่ายออกอาการองุ่นเปรี้ยวที่ค้านมาตรการรัฐบาลไปเสียทุกเรื่องและพยายามปั่นทุกกรณีโยงเข้ากับเกมการเมืองแบบมิรู้ร้อนรู้หนาว
พรรคก้าวไกลคือหนึ่งในนั้น ซึ่งบางเรื่องเสนอมุมมองที่ดีในการแนะนำให้เดินเรือเหล็กพ้นหินโสโครกใต้ผิวทะเล แต่หลายเรื่องพรรคสีส้มใหม่คล้ายว่าพยายามยึดกระแสที่เกิดขึ้นไปปั่นและเล่นเกมการเมืองมากไป ลิดรอนสิทธิประชาชนด้วยการใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ถามว่าหากยามนี้พรรคก้าวไกลเป็นหนึ่งในพรรคร่วมรัฐบาล กลยุทธ์นี้จะงัดมาใช้หรือไม่ในภาวะหน้าสิ่วหน้าขวานเยี่ยงนี้ หลายชาติขันนอตคุมเข้มกว่าไทยแลนด์ ชาวประชาในแว่นแคว้นนั้นยังยอมรับเลย
หากพรรคส้มใหม่จะเจรจาพาทีใดๆ ตริตรองด้วยสติและละทิฐิสักนิดบ้านเมืองจะไปต่อแบบสูญเสียน้อยที่สุดก็มาจากการร่วมมือจากทุกชีวิตบนแดนด้ามขวานทอง
ด้วยความปรารถนาดี ...ขอแนะนำพรรคน้องใหม่ขั้วฝ่ายค้าน ไตร่ตรองสักนิดหากจะขยับหมากบนกระดานการเมือง อย่ายึดโยงกับภาวะตระหนกของสังคมมาปั่นกระแสและดึงแต้มการเมืองไปเสียทุกเรื่อง
แนะนำพลพรรคชาวส้มใหม่ให้ลองไปดูประวัติศาสตร์บ้าง ยามวิกฤติในบ้านเมืองนั้น ฝ่ายค้านและรัฐบาลในบางช่วงยังจับมือพาชาติพ้นภัยได้ คนรุ่นใหม่และเลือดใหม่ในพรรคก้าวไกลก็ยังมีคนรุ่นผ่านประสบการณ์ที่ทำหน้าที่หลังบ้านคอยส่องจังหวะนั้น ควรชี้แนะผู้เยาว์ด้วย
ไม่เช่นนั้น อาจจะ "ก้าวไม่ไกล” และไร้อนาคตซึ่งใหม่บนถนนการเมือง
ข่าวที่เกี่ยวข้อง