กรุงเทพมหานคร ต้องรุกฆาตโควิด-19 ....เพื่อให้สิ่งเหล่านี้... ความหวาดกลัว! ความหวาดผวา! ความวิตกกังวล! ทุกข์ใจ! ไร้ที่พึ่ง! เครียด! หมดไป ฯลฯ
หวาดกลัว! หวาดผวา! วิตกกังวล! ทุกข์ใจ! ไร้ที่พึ่ง! เครียด! ฯลฯ
นี่เป็นส่วนหนึ่งของความรู้สึกของคนไทยค่อนประเทศ กับสถานการณ์การแพร่ระบาดของเจ้าวายร้าย “ไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ หรือโควิด-19” ที่กระจายไปทั่วโลก ยังไม่ทีท่าว่าจะ“หยุด”ซะทีเดียว
อ่านข่าว : รัฐบาลแถลงปิดสถานศึกษาทั่วไทย เพื่อควบคุมโควิด-19
เอาเถอะ!! แม้รัฐนาวา “ลุงตู่” แถลงว่าสถานการณ์การแพร่ระบาดในไทยยังไม่เลวร้าย หรือยังอยู่ใน “ระยะที่2” เท่านั้น และรัฐบาลได้เตรียมพร้อมแผนสำรองเอาไว้แล้วเพื่อรองรับหากถึงขั้นแย่ที่สุด
จากนั้นครม.ลุงตู่ ก็เข็นมาตรการปิดสถานศึกษาทั่วประเทศ ปิดเรือนจำ และตามด้วยปิดสถานบริการหลายประเภท อาทิ สนามมวย ผับ สถานบริการ ร้านนวด นวดแผนไทย นวดแผนโบราณ โรงภาพยนตร์ พิกัดเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล เป็นเวลา 14 วันเริ่มตั้งแต่วันที่ 18-31 มี.ค.2563
เชื่อหรือไม่ว่า มาตรการเหล่านี้คนไทยส่วนใหญ่รวมถึงพลเมืองกรุงเทพมหานคร จำนวนกว่า 13 ล้านคน ยังไม่เชื่อมั่นว่ารัฐบาลจะ “เอาอยู่” หรือเอาชนะเจ้าวายร้ายโควิด-19 นี้ได้แบบ "อยู่หมัด"
“คมชัดลึกออนไลน์” มีโอกาสได้รับคำชี้แนะ รวมถึงกลยุทธ์เพื่อนำไปสู่ยุทธวิธีในการทำงานเชิงรุก ก้าวล้ำไปข้างหน้า จาก “คณะทำงานอดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข” เพื่อปราบปรามเจ้าวายร้ายโควิด-19 ให้หยุดการแพร่เชื้อ และเรียกขวัญกำลังใจคนไทยและชาวกรุงเทพมหานครให้กลับคืนมา...
ก่อนอื่น 2 ผู้นำ หมายถึง "พลตำรวจเอกอัศวิน ขวัญเมือง" ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร และ "นายอนุทิน ชาญวีรกุล" รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ต้องหลอมรวมเป็น "ดรีมทีม" เพื่อสู้โควิด-19 โฟกัสเมืองหลวงอย่างกรุงเทพมหานคร ก่อนด้วยการทำงานเชิงรุก ดังนี้
1.กทม.-สธ. 2 หน่วยงานประสานกันเป็นหนึ่งเดียว
2.ระดมบุคลากรทางการแพทย์ ทั้งจาก กทม.และสธ. จัดหน่วยแพทย์เคลื่อนที่ลุยตรวจคัดกรองประชาชนในพื้นที่ เริ่มจากพื้นที่ “เซฟโซน5เขต” ได้แก่เขตพระนคร,เขตป้อมปราบศัตรูพ่าย,เขตสัมพันธวงศ์,เขตบางรัก และเขตปทุมวันที่อยู่ใจกลางกรุงเทพมหานคร การคัดกรองสุขภาพประชาชน ไล่เรียงมาตั้งแต่ระดับเขต ลงไปแขวง และลงสู่ชุมชน
3.ประสานขอความร่วมมือจากหน่วยกู้ภัย จิตอาสา อาสามัคร ในการร่วมลงพื้นที่คัดกครองประชาชนชาวกรุงเทพฯ เพื่อให้ครบทั้ง 50 เขต และในการทำ “บิ๊กคลิ่นนิ่ง” ฉีดพ่นยาฆ่าเชื้อ หากไม่มีอุปกรณ์ก็ขอความร่วมมือจากเกษตรกรในพื้นทีไ่ด้
4.สำรวจสุขภาพของประชาชน ในแต่ละชุมชน ว่ามีความเสี่ยงมากน้อยแค่ไหน ควบคุมโซนไม่ให้เกิดการแพร่ระบาด
5.เฝ้าระวังหากมีเคสเสี่ยงติดโควิด-19
6.มีจุดบริการครบวงจร เจ้าหน้าที่พร้อมเคลื่อนย้ายหากพบผู้ป่วยฉุกเฉิน
7.ตรวจติดตามการคัดครองสุขภาพประชาชนแต่ละชุมชนซ้ำ บันทึก ข้อมูล จัดเก็บ รายงาน และเฝ้าระวังตลอด24ชั่วโมง
8. มีจุดสื่อสารใกล้ชิดกับประชาชน อาจจะผ่าน "เพจผู้ว่าฯอัศวิน" เป็นช่องทางตอบทุกข้อสงสัยเกี่ยวกับโควิด-19 ให้ชาวกรุงเทพฯ 13 ล้านคนอบอุ่นใจว่ามีผู้นำเป็นที่พึ่งได้และอยู่เคียงข้าง ยามยากลำบาก
9.ประมวลผล ทั้งหมดนำเสนอระดับชาติ คลอดเป็นโมเดลเพื่อนำไปใช้ในอีก 76 จังหวัดที่เหลือ
10 เดินหน้าลงชุมชนถี่ยิบ เพื่อตรวจคัดกรองประชาชนอย่างเข้มข้น แบบเชิงรุก เพื่อสร้างขวัญกำลังใจ
ด้วยจิตคารวะ ทั้งหมดทั้งมวล ผู้เขียนหวังเพียงว่า ยุทธวิธีเหล่านี้หากนำมาใช้จริงชาวกรุงเทพฯ คงอบอุ่นใจ และรู้สึก“ปลอดภัย” อาจจะนำไปสู่การผนึกกำลังลุกขึ้นสู้กับเจ้าวายร้ายโควิด-19 ในที่สุด..
0 กมลทิพย์ ใบเงิน 0 รายงาน
ข่าวที่เกี่ยวข้อง