คอลัมนิสต์

ศึกซักฟอกแค่ "อากาศ" ในมือฝ่ายค้าน

เกาะติดข่าวสาร >> คมชัดลึก ออนไลน์
logoline

ศึกซักฟอกแค่ "อากาศ" ในมือฝ่ายค้าน

 

 


          ไม่รู้จะกลายเป็นแค่ “ลิเกหลงโรง” หรือไม่สำหรับศึกอภิปรายไม่ไว้วางใจ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี พร้อมรัฐมนตรีในเรือเหล็กทั้ง 5 คน ที่ฝ่ายค้านหมายคุยโวตั้งแต่ปี่กลองยังไม่เชิดว่า การอภิปรายครั้งนี้ฝ่ายค้านจะมีหมัดน็อกให้ “บิ๊กตู่” สลบคาเวทีชนิดล้มทั้งยืนได้ แต่ทำไปทำมาเมื่อการอภิปรายผ่านพ้นไป 2 วันเต็ม กองเชียร์กองแช่งกลับรู้สึกว่า การอภิปรายครั้งนี้จืดชืดสนิท ไม่ตื่นเต้นสมราคาคุยของพรรคฝ่ายค้าน

อ่านข่าว-เกาะติดศึกซักฟอก ฝ่ายค้าน อ่อนซ้อม

 

 

          ศึกซักฟอกครั้งนี้ต้องยอมรับว่าฝ่ายค้านยังไม่มีหมัดเด็ดหรือข้อมูลใหม่ที่ทำให้ประชาชนฟังแล้วต้องดีดนิ้วร้อง “ว้าว” ข้อมูลที่ฝ่ายค้านนำมาอภิปรายกลายเป็นหนังม้วนเก่าที่เคยฉายซ้ำแล้วซ้ำเล่าไม่ว่าจะเป็นปมที่ดินย่านบางบอนของบิดานายกรัฐมนตรี การขยายสัญญาเช่า “ศูนย์ประชุมสิริกิติ์” อีก 50 ปีที่ฝ่ายค้านมุ่งประเด็นไปที่การเอื้อผลประโยชน์ให้เจ้าสัวค่ายน้ำเมา หรือแม้กระทั่งการเซ็นสัญญาในสัมปทานของรถไฟฟ้าสีต่างๆ การใช้อำนาจมาตรา 44 มาแทรกแซงทีวีดิจิทัล หรือการเอื้อประโยชน์นายทุนในการก่อสร้างรถไฟฟ้าความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน โดยทุกข้อกล่าวหามุ่งไปที่การเอื้อประโยชน์ให้แก่กลุ่มทุนระดับเจ้าสัว


          นอกจากนี้ยังมีประเด็นเศรษฐกิจที่ฝ่ายค้านพยายามชี้ให้เห็นว่ารัฐบาลของบิ๊กตู่กำลังสร้างปัญหาให้ประเทศด้านเศรษฐกิจเป็นประวัติศาสตร์ เพราะนโยบายของรัฐบาลทำให้เกิดความถดถอยทางเศรษฐกิจ และเกิดความเหลื่อมล้ำถึงขนาดคนรวยจะไม่มีโอกาสจน คนจนไม่มีโอกาสรวย โดยฝ่ายค้านพยายามชี้ให้เห็นว่าที่รัฐบาลไม่สามารถแก้ปัญหาเศรษฐกิจได้ เพราะส่วนหนึ่งมาจากปมด้อยของตัวนายกฯ ที่เข้าสู่อำนาจโดยยึดอำนาจจนคนทั่วโลกบอยคอต และที่สำคัญการบริหารประเทศของ พล.อ.ประยุทธ์ และรัฐบาลมุ่งเอื้อประโยชน์ให้คนรวยจนเกิดความเหลื่อมล้ำที่เป็นช่องว่างขนาดใหญ่ระหว่างคนรวยกับคนจน


          “ชาวบ้านถามว่าจะปลดนายกฯ ได้หรือไม่ ผมบอกว่าอย่าตั้งความหวังขนาดนั้น แต่สำหรับผมเองมองข้ามไปแล้ว เพราะสนใจว่าประเทศไทยจะอยู่กันอย่างไรมากกว่าภายใต้ความเหลื่อมล้ำ ดังนั้นผมขอไม่ไว้วางใจให้นายกฯ อยู่ในตำแหน่งต่อไป เพราะนายกฯ แก้ปัญหาเศรษฐกิจไม่ได้ ถ้าอยู่ต่อไปความเหลื่อมล้ำจะมีมากขึ้น ซึ่งอาจจะมีวิกฤติทางสังคมไปทั่วประเทศ ดังนั้นการยุบสภาไม่ใช่ทางออก เพราะสภาไม่ได้ทำอะไรผิด เพราะฉะนั้นผมขอให้นายกฯ ลาออกเท่านั้น”




          ถ้าสิ่งเหล่านี้คือหมัดเด็ดที่หวังจะน็อกรัฐบาลต้องบอกว่า “ฝันไป” เพราะทุกข้อมูลที่ฝ่ายค้านนำมาอภิปรายล้วนเป็นข้อมูลในวงกว้างที่เป็นภาพรวมหรือที่ภาษาฝรั่งชอบเรียกกันว่า “Big picture” ซึ่งข้อมูลเหล่านี้ไม่ได้เป็นข้อมูลเชิงลึกที่จะชี้ให้คนไทยเห็นว่ารัฐบาลของ พล.อ.ประยุทธ์ ทุจริตในเรื่องใด และที่สำคัญบางข้อมูลที่ฝ่ายค้านนำมาขุดคุ้ยตีแผ่กลับถูกนายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี โยนระเบิดลูกใหญ่กลับไปว่าปฐมบทเรื่องการขยายสัญญาเช่า “ศูนย์ประชุมสิริกิติ์” 50 ปีความจริงแล้วมันเกิดขึ้นจากรัฐบาลก่อนรัฐประหารที่เป็นคนริเริ่มต่างหาก


          “พื้นที่ศูนย์สิริกิติ์เป็นของกระทรวงการคลังที่ทำสัญญาให้บริษัท เอ็นซีซี แมเนจเมนท์ แอนด์ ดิเวลลอปเมนท์ จํากัด มาบริหารพื้นที่โดยเป็นคู่สัญญากับกรมธนารักษ์มาตลอด มีรายละเอียด ซึ่งต่อมาเกิดปัญหาขึ้น เมื่อบริษัทเอ็นซีวีบอกว่าทำตามสัญญาไม่ได้เพราะกระทรวงมหาดไทยได้ออกกฎหมายผังเมืองให้พื้นที่บริเวณดังกล่าวเป็นพื้นที่สีน้ำเงิน คือ ห้ามมีสิ่งก่อสร้างสูงเกิน 23 เมตร ดังนั้นในปี 2544 กระทรวงการคลังจึงหารือไปยังคณะกรรมการกฤษฎีกาว่าจะสามารถยกเลิกสัญญากับเอกชนได้หรือไม่ ได้รับคำตอบว่าถ้าการที่เอกชนไม่สามารถทำตามสัญญาได้ ไม่ได้มาจากความผิดของเอกชน ก็ไม่สามารถยกเลิกสัญญาได้ ทำได้แค่แก้ไขสัญญา จึงเป็นที่มาของการแก้ไขสัญญาดังกล่าว รัฐบาลฟังคณะกรรมการกฤษฎีกา อัยการสูงสุด ทำตามขั้นตอนต่างๆ จนมาสู่บทสรุป ทั้งหมดนี้จะเอื้อใครหรือไม่ ต้องไปดูว่า เอื้อมาตั้งแต่รัฐบาลใด”


          เมื่อทุกอย่างมันคือข้อมูลที่คร่ำครึจนทำให้ฝั่งรัฐบาลถึงกับลูบปากว่า ศึกซักฟอกนี้มันคือ “หมูในอวย” ดังนั้นเท่าที่ผ่านมาเราแทบจะไม่ได้เห็นบทบาทของวอร์รูมฝั่งรัฐบาล หรือบรรดาองครักษ์พิทักษ์ลุงและผองเพื่อนแสดงบทบาทในฐานะบอดี้การ์ดปกป้องชีวิตเจ้านายสักเท่าใด โดยสิ่งที่ได้เห็นในศึกอภิปรายครั้งนี้จากกลุ่มบรรดาองครักษ์คือการออกมาเยาะเย้ยถากถางข้อมูลฝ่ายค้านว่าของปลอมเปรียบได้ดั่ง "ยุทธการอรุณรุ่งริ่ง เป็น "มวยล้มต้มคนดู"


          สุดท้ายศึกอภิปรายไม่ไว้วางใจจะเดินทางไปถึงจุดไหนคงเป็นเรื่องที่คาดเดาไม่ยาก และนี่อาจเป็นบทเรียนให้ฝ่ายค้านนึกถึงสุภาษิตไทยว่า “ช้าๆ ได้พร้าเล่มงาม” อย่าไปรีบร้อนเร่งรีบ ทำไมหยุดหายใจ คิดให้ช้าสักนิดด้วยการปล่อยให้รัฐบาลเรือเหล็กบริหารประเทศไปอีกระยะหนึ่ง จากนั้นค่อยมานั่งดีดลูกคิดคำนวณดูว่ารัฐบาลหรือรัฐมนตรีคนใดได้สร้างบาดแผลหรือมลทินใดให้ประเทศด้านใดบ้าง เมื่อถึงเวลานั้นค่อยจัดหนักจัดเต็มเปิดศึกใหญ่ด้วยข้อมูลลึกระดับ “เด็ดดอกไม้สะเทือนถึงดวงดาว” ดีกว่ารีบร้อนลุกลี้ลุกลน “เล่นใหญ่” เกินตัวทั้งที่ในมือยังกำไว้แค่ “อากาศ”


 

logoline
แท็กที่เกี่ยวข้อง

ข่าวที่น่าสนใจ