คอลัมนิสต์

เขี้ยว-เล็บ-งา ไม่มีทางขลังไปกว่ามันสมองและสองมือของมนุษย์

เกาะติดข่าวสาร >> คมชัดลึก ออนไลน์
logoline

เขี้ยว-เล็บ-งา ไม่มีทางขลังไปกว่ามันสมองและสองมือของมนุษย์ โดย... พระเมธีวชิโรดม (ว.วชิรเมธี)

 

 

 

          มนุษย์ทุกคนปรารถนาที่จะมีชีวิตที่ดี มีความสุข มีเงินมีทอง และความสำเร็จในหน้าที่การงานกันทั้งนั้น แต่หากการอยากมีชีวิตที่ดีต้องแลกมาด้วยการเบียดเบียนชีวิตของสิ่งมีชีวิตอื่นเพื่อมาเป็นวัตถุที่เชื่อกันว่า ‘มงคล’ เชื่อว่ามัน ‘ขลัง’ สิ่งนั้นจะเป็นของมงคลได้อย่างไร

 

 

          ชีวิตดีที่ต้องไร้ ‘ฆ่า’ ในที่นี้จึงหมายถึงการละ เลิกใช้และซื้อผลิตภัณฑ์ที่มาจากซากสัตว์ป่าทุกชนิด โดยเฉพาะซากเสือโคร่ง และงาช้าง เพราะทุกปีมีช้างมากกว่า 20,000 ตัว ถูกฆ่าเพื่อเอางาในแอฟริกา เพื่อตอบสนองความต้องการผลิตภัณฑ์งาช้างหลายประเทศในเอเชียรวมถึงไทย ขณะที่เสือโคร่งที่เหลืออยู่ในป่าทั่วโลกมีจำนวนน้อยกว่า 4,000 ตัว แต่พวกมันตกอยู่ในความเสี่ยงที่จะถูกล่าเพื่อเขี้ยว หนังและกระดูก ขณะที่ในไทยมีเสือโคร่งในป่าราว 150-200 ตัวเท่านั้น ล่าสุดมีรายงานจากเครือข่ายเฝ้าระวังการค้าสัตว์ป่าและพืชป่า ว่านกชนหิน และนกเงือกหลายชนิดพันธุ์กำลังถูกล่าในไทยและประเทศเพื่อนบ้านเพื่อนำชิ้นส่วนบริเวณโหนกหัวไปทำเป็นผลิตภัณฑ์ เช่น จี้ สร้อยคอ ขายในโลกออนไลน์ด้วยความเชื่ออย่างผิดๆ ว่าจะช่วยเสริมโชคลาภ ประดับบารมี เราอาจมองว่าอาชญากรรมต่อสัตว์ป่าเหล่านี้เป็นเรื่องไกลตัว แต่หากยังมีคนซื้อคนใช้ก็จะทำให้เกิดการล่าเป็นวงจรที่ไม่จบสิ้น และไม่ส่งผลดีต่อสัตว์ที่มีความสำคัญต่อธรรมชาติ

 

 

 

เขี้ยว-เล็บ-งา ไม่มีทางขลังไปกว่ามันสมองและสองมือของมนุษย์

 


          ความเชื่อในเครื่องรางของขลัง หรือวัตถุมงคลที่ทำมาจากซากสัตว์ป่าไม่เกี่ยวอะไรกับพระพุทธศาสนา เพราะพระพุทธองค์สอนให้เราเชื่อมั่นในการกระทำของตัวเอง และเชื่อมั่นในกฎแห่งกรรม ทำดีตอนไหน ตอนนั้นเป็นสิริมงคล มงคลในชีวิตขึ้นอยู่กับมันสมองและสองมือของเราเอง พระพุทธองค์ไม่เคยตรัสเลยว่าเอาเขี้ยวเล็บงามาประดับร่างกายแล้วจะทำให้เรามีแต่สิริมงคล สิ่งนั้นถือว่าเป็นความเชื่อที่ไม่ถูกต้อง

 



          สิ่งที่มาพร้อมกับการอ้างอิงสรรพคุณเครื่องรางของขลังที่ทำจากซากสัตว์ป่า ก็คือพุทธคุณด้านต่างๆ ซึ่งจริงๆ แล้ว ไม่มีทางที่พุทธคุณจะไปอยู่ในเครื่องรางของขลังที่ทำจากเขี้ยวเล็บงาของสิงห์สาราสัตว์ได้เลย เพราะพระพุทธคุณที่แท้จริงนั้นมี 3 ประการ คือ พระปัญญาคุณ พระวิสุทธิคุณ และพระกรุณาธิคุณ ซึ่งหมายถึงปัญญา ความบริสุทธิ์ และความเมตตาอาทร สามประการนี้เท่านั้นที่เรียกว่าพุทธคุณ 

 

 

เขี้ยว-เล็บ-งา ไม่มีทางขลังไปกว่ามันสมองและสองมือของมนุษย์

 


          มีเรื่องเล่าว่ามีพรานป่าจำนวนหนึ่งเข้าป่าล่าสัตว์แล้วก็พากันไปยิงเสือ จากนั้นก็ตัดเอาเขี้ยวเสือแล้วพากันไปหาหลวงปู่รูปหนึ่งซึ่งถือกันว่าเป็นพระเกจิที่มีวิชาอาคมขลังมากขอให้ท่านเสก หลวงปู่ก็ถามว่า “นี่คืออะไร” พวกนายพรานก็ตอบว่านี่คือเขี้ยวเสือไฟขอรับ หลวงปู่ถามต่อว่า แล้วเจ้าตัวเสือมันไปไหนล่ะ นายพรานก็ตอบว่า เสือก็คือสัตว์ที่พวกผมไปล้ม แล้วก็ตัดเอาเขี้ยวมันมา ทันใดนั้นหลวงปู่ก็ตอบว่า ‘ขนาดเสือที่เป็นเจ้าของเขี้ยวยังตาย แล้วเขี้ยวเสือไฟที่พวกเธอได้มามันจะคุ้มครองป้องกันพวกเธอได้อย่างไร’ ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมานายพรานกลุ่มนั้นก็เลิกเชื่อถือบูชาเขี้ยวเสือไฟตลอดชีวิต ส่วนการอ้างว่าเราไม่ได้ไปฆ่าสัตว์ เราแค่เอาชิ้นส่วนของเขามาทำเป็นวัตถุมงคล เราลองมองในมุมกลับกัน เอาใจเขามาใส่ใจเรา มีใครคนหนึ่งจู่ๆ มาขอตัดเขี้ยวเราไป ขอฟันกรามเราไปทำเป็นเครื่องประดับ วัตถุมงคล ถามหน่อยว่าเราจะยอมไหม อาตมาว่าไม่มีใครยอมหรอก เพราะสิ่งมีชีวิตทุกชีวิตล้วนรักตัวกลัวตายด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น

 

 

เขี้ยว-เล็บ-งา ไม่มีทางขลังไปกว่ามันสมองและสองมือของมนุษย์

 


          การที่พระสงฆ์ หรือเกจิอาจารย์ไปปลุกเสกผลิตภัณฑ์จากเขี้ยวเล็บงาทั้งหลายให้กลายเป็นเครื่องรางของขลัง เราต้องบอกว่าไม่ใช่ปฏิปทาของพระสงฆ์ที่เป็นลูกศิษย์ของพระพุทธเจ้า เพราะฉะนั้นพระสงฆ์ที่ไปทำอย่างนั้นถือว่าท่านทำในสิ่งซึ่งไม่ถูกต้อง การปลุกเสก คือการเสกคนที่ไม่รู้ให้มีความรู้ เสกคนที่ยังหลับให้ตื่น เสกคนที่งมงายให้มีปัญญา นี่คือการพุทธาภิเษกที่ถูกต้อง


          ความเชื่อในเครื่องรางของขลังจากซากสัตว์เป็นความเชื่อของยุคบรรพกาลในยุคที่มนุษย์ยังไม่รู้จักสิ่งที่เรียกว่าวิทยาศาสตร์ เราควรจะเชื่อในสิ่งที่มีเหตุมีผลและสามารถแก้ปัญหาในชีวิตของเราได้จริงๆ เพราะทุกคนล้วนเป็นมนุษย์ มีโครงสร้างทางสมองที่วิจิตรที่มหัศจรรย์กว่าสิงห์สาราสัตว์นับร้อยนับพันเท่า กลับมาเชื่อมั่นในสติปัญญาและสองมือของตัวเองจะดีกว่า

 

 

เขี้ยว-เล็บ-งา ไม่มีทางขลังไปกว่ามันสมองและสองมือของมนุษย์

 


          ความเมตตาอาทรนั้นเราต้องแผ่ขยายจากใจของเราไปยังทุกคน ทุกสิ่งมีชีวิตรวมถึงสิ่งแวดล้อมด้วย เราจะเมตตาเฉพาะคนไม่ได้ แต่เราจะต้องเมตตาทั้งคน ทั้งสัตว์ ทั้งสิ่งแวดล้อม เพราะเมตตาที่สากล คือรักคน รักทุกชีวาอย่างเสมอหน้ากัน


          ชีวิตดีต้องไร้ฆ่า ไม่พึ่งเขี้ยวงา
          

logoline

ข่าวที่น่าสนใจ