โดย... ขนิษฐา เทพจร
เนื่องในวันสถาปนา คณะรัฐศาสตร์ และคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ครบรอบ 70 ปี ร่วมจัดเวทีเสวนา หัวข้อ "มองไปข้างหน้าเศรษฐกิจการเมืองไทย : กับดักหรือแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์" โดยมีนักวิชาการจากคณะรัฐศาสตร์ และเศรษฐศาสตร์ ร่วมแลกเปลี่ยนความคิดเห็น ทั้งประเด็นปัญหาที่เกิดขึ้นที่คาบเกี่ยวกับประเด็นเศรษฐกิจ-การเมือง รวมถึงช่วยชี้ทางออกจากวังวนปัญหาการเมือง ที่หลายฝ่ายโฟกัสไปที่ความขัดแย้งทางการเมือง แต่สิ่งที่เหนือไปกว่านั้นคือ การจัดสรรอำนาจของกลไกต่างๆ ผ่าน “กติกาสูงสุด” ของประเทศ ที่ถูกออกแบบไว้ล่าสุด ว่าคือตัวปัญหาของการเมืองไทย
โดย ผศ.ดร.วรรณภา ติระสังขะ นักวิชาการคณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ สะท้อนมุมมองทางวิชาการ ต่อประเด็นกับดักการเมืองไทย ที่มีจุดเริ่มจาก “รัฐธรรมนูญ”
ผศ.ดร.วรรณภา ติระสังขะ
“สิ่งสำคัญของการเมืองไทย สังคมไทยไม่เห็นค่ากฎหมายสูงสุดของรัฐธรรมนูญ ที่ทำให้เชื่อมั่น ศรัทธา ต่อระบอบการปกครองแบบนี้ ซึ่งเหตุผลสำคัญที่ทำให้ความเป็นกฎหมายสูงสุดไม่ได้รับความเชื่อมั่น คือ การออกแบบรัฐธรรมนูญที่ไม่สมดุลทางอำนาจ ทั้งฝ่ายประชาชน ฝ่ายนิติบัญญัติ ฝ่ายศาล ถูกเปลี่ยนแปลงไป นอกจากนั้นรัฐธรรมนูญของประเทศยังพบการถูกทำลายอยู่บ่อยครั้ง เพราะขาดการมีฉันทามติร่วมกัน รวมถึงไม่มีเซ้นส์ยึดมั่น ถือมั่นในการปกครองระบอบประชาธิปไตยที่มีคนหลากหลายวัยต้องอยู่ภายใต้กติกาดังกล่าว ทั้งที่การออกแบบรัฐธรรมนูญต้องทำให้เสียงประชาชนเท่ากันและถูกเห็นค่าอย่างเท่าเทียม รวมถึงสิทธิ เสรีภาพของประชาชนต้องได้รับการเคารพ” ผศ.ดร.วรรณภา กล่าว
นักวิชาการสาวจากคณะรัฐศาสตร์ กล่าวต่อว่า ภาพรวมของกับดักการเมืองไทย ส่วนตัวเชื่อว่าเกี่ยวข้องกับโครงสร้างอำนาจที่เขียนไว้ในรัฐธรรมนูญแบบไม่สมดุล ทั้งนี้มองว่า กับดักทางการเมืองยังมีทางออก เหมือนแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์ คือ ต้องสร้างดุลทางอำนาจ ให้มีการตรวจสอบถ่วงดุล และทำให้รัฐธรรมนูญเป็นเครื่องมือแบบเป็นทางการที่ทำให้การเมืองไทยเป็นประชาธิปไตย รวมถึงเป็นเครื่องมือที่แก้ปัญหาในอดีต ไม่เฉพาะการแก้ไขความขัดแย้งเท่านั้น เนื่องจากในอนาคตยังอาจเกิดปัญหาอื่นๆ ตามมาได้อีก โดยปัญหาที่เกิดขึ้นจากการเรียกร้องแก้ไขรัฐธรรมนูญ มีทางออกตามกลไกของรัฐธรรมนูญ คือ ใช้อำนาจของคณะรัฐมนตรี ตามมาตรา 166 เพื่อทำประชามติเป็นจุดเริ่มต้นของการแก้ไขรัฐธรรมนูญ เพื่อให้การยกระดับการพูดคุยระดับชาติ เกิดฉันทามติร่วม และสาธารณะยอมรับ รวมถึงกำจัดข้อครหาว่า บางฝ่ายคือผู้ที่สืบทอดอำนาจ หรือบางฝ่ายต้องการล้มล้างระบอบที่รัฐธรรมนูญบัญญัติ
ศ.ดร.เกษียร เตชะพีระ
ขณะที่ ศ.ดร.เกษียร เตชะพีระ นักวิชาการคณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ซึ่งฉายภาพจากมุมมองของนักวิชาการต่างประเทศว่า ความเป็นไปได้ของการเปลี่ยนแปลง จะซ่อนแฝงอยู่ในปัจจุบัน เมื่อดูปัจจุบันคิดถึงสิ่งที่เห็น และไม่เห็น แต่มีแนวโน้มที่ซ่อนแฝง จากความใฝ่ฝันของคนในทางการเมือง
“หากขับรถอยู่ ไม่สามารถมองผ่านกระจกหน้าได้ เพราะมีความมืด อย่างเดียวที่มองเห็นคือ มองกระจกหลัง นี่เป็นชะตากรรมของมนุษย์ เราไม่รู้อนาคตคืออะไร ที่พอรู้บ้างคืออดีตที่ผ่านมา แล้วพยายามคิดว่าคล้ายอดีตที่ผ่านมา ซึ่งการมองไปข้างหน้าย่อมมีข้อจำกัด เหมือนคำของนักวิชาการที่เคยบอกว่าประเพณีของคนรุ่นก่อน หน่วงทับสมองของผู้มีชีวิตอยู่เหมือนฝันร้าย ทั้งนี้การเมืองไทยในมุมมองของผม ที่เข้าใจได้คือ มีการเปลี่ยนย้าย ความเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจ สังคม และนำไปสู่การเมือง รวมถึงระบอบที่เปลี่ยนแปลงตามปรากฏการณ์และความเคลื่อนไหวทางสังคม ตั้งแต่ปี 2475, ปี 2516 เป็นต้นมา”
ศ.ดร.เกษียร กล่าวด้วยว่า แสงสว่างที่ปลายอุโมงค์ มีได้ แม้จะริบหรี่ คือ การรักษาสิทธิเสรีภาพของประชาชน จากอำนาจรัฐ ทั้งกระบวนการผ่านกฎหมาย และให้ใช้กระบวนการของรัฐสภาเป็นที่ถกเถียง นอกจากนั้นคือต้องไม่มีรัฐประหาร ไม่มีตุลาการธิปไตยปกครองโดยเสียงข้างน้อย ไม่มีการฉวยโอกาสใช้สถาบันหลักของบ้านเมืองเป็นเครื่องมือทำร้ายกันในทางการเมือง
“กับที่มีคนถามว่าเราจะสร้างระบบใหม่ขึ้นได้หรือไม่ ผมว่าเกิดขึ้นได้ แต่การสร้างระบอบใหม่จะเกิดขึ้นไม่ได้ หากปราศจากการสรุปบทเรียน จากประสบการณ์ใหม่และประสบการณ์เก่า ส่วนผู้มีอำนาจที่ยึดและมองมุมเศรษฐกิจ ผมว่า เขาจะไม่ยอมหากไม่สามารถทำให้เอื้อต่อเขาในส่วนแบ่งที่คุ้มค่า มีคนถามด้วยว่าฐานะที่เกิดในยุคประชาธิปไตย จะยอมรับกับระบบใหม่ได้หรือไม่นั้น สิ่งที่ต้องตอบคำถามให้ได้คือ นิยามคำว่าประชาธิปไตยระบบนี้ กับตัวคุณเหมือนกันหรือต่างกันหรือไม่ รวมถึงนิยามประชาชนของระบอบนี้กับประชาชนเหมือนกันหรือไม่” ศ.ดร.เกษียร กล่าว
ส่วน รศ.ดร.อภิชาติ สถิตนิรามัย นักวิชาการคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ฉายความคิดจากข้อมูลทางเศรษฐกิจที่พบว่า เศรษฐกิจไทยโตช้า ในรอบ 10 ปีที่ผ่านมา มีค่าเฉลี่ยการเติบโต เพียง 3 เปอร์เซ็นต์ และโตต่ำที่สุดเมื่อเทียบกับประเทศในภูมิภาคใกล้เคียง โดยปัจจัยสำคัญคือ วิกฤติจากภาคเกษตรกรรม และระบบอุตสาหกรรมที่โตช้า เนื่องจากไทยสูญเสียความสามารถในการแข่งขันที่ได้จากค่าแรงราคาถูก เมื่อค่าแรงของประเทศเพิ่มสูงขึ้นจึงทำให้กลายเป็นผลกระทบที่ส่งผลต่อศักยภาพและความสามารถในการแข่งขัน ขณะที่การลงทุนโดยรวมลดลง เพราะโครงสร้างพื้นฐานในรอบ 20 มีมีการลงทุนน้อย ทำให้เกิดผลในเชิงประจักษ์ คือ กระทบต่อจีดีพีของประเทศ นอกจากนั้นคุณภาพของโครงสร้างพื้นฐานในประเทศไทยเสื่อมถอยลง เมื่อเทียบกับประเทศในภูมิภาค ทำให้การลงทุนถดถอยตามไปด้วย นับจากการรัฐประหาร ปี 2549
รศ.ดร.อภิชาติ สถิตนิรามัย
ศ.ดร.อภิชาติ กล่าวด้วยว่าปัจจัยอื่นที่มีผลกระทบต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจอื่นๆ อาทิ คุณภาพทางการศึกษาลดต่ำ มีความเหลื่อมล้ำ และมีความไม่เท่าเทียมของคุณภาพการศึกษาเพิ่มมากขึ้น ขณะที่ปัญหาสุขภาพพบการเกิดโรคใหม่มากขึ้น และคาดว่าประชาชนจะตายเพิ่มมากขึ้นในช่วงอายุที่ต่ำกว่า 60 ปี ทั้งนี้คณะเคยสำรวจความเห็นต่อความมั่นคงในชีวิตของประชาชน คนส่วนใหญ่ที่มีฐานะเป็นชนชั้นกลางระดับบน ตอบว่า ชีวิตไม่มั่นคง และมองว่าภายใต้สถานการณ์บางอย่างการใช้ระบอบเผด็จการจะให้ผลลัพธ์ที่ดีกว่า โดยมีคำอธิบายได้ว่าความรู้สึกไม่มั่นคง เกิดจากความท้าทายจากกระแสโลกาภิวัตน์
“เมื่อคุณภาพทุกด้านลดประสิทธิภาพลง ทั้งการมีเสถียรภาพทางการเมือง คุณธรรมของผู้ปกครอง คุณภาพทางการศึกษา ระบบราชการที่ไม่มีคุณธรรม ทำให้ไม่มีใครที่กล้าเข้ามาลงทุน ระบอบเผด็จการประชาธิปไตยของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ที่ขับเคลื่อนโดยรัฐราชการนั้น ไม่สามารถกระตุ้นหรือสร้างสมรรถภาพของการแข่งขันในประเทศได้ เพราะส่วนหนึ่งเกิดจากกลไกในรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน ที่สร้างกับดักจนไม่เห็นแสงสว่างของปลายอุโมงค์ได้” ศ.ดร.อภิชาติ กล่าว
ส่วน ศ.ดร.อารยะ ปรีชาเมตตา นักวิชาการคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ให้มุมมองต่อทิศทางข้างหน้า ว่าด้วยเศรษฐกิจการเมืองไทย ว่าวิสัยทัศน์ทางการเมืองและกลุ่มทุนขนาดใหญ่ ต้องเน้นการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานใหม่ แต่ต้องยอมรับในข้อจำกัด ที่ไม่สามารถกระจายไปทั่วประเทศภายใต้เวลาที่มีอย่างจำกัด ดังนั้นสิ่งที่เขามองคือ ต้องเพิ่มการลงทุนจากต่างประเทศให้มากขึ้น นอกจากนั้นกลุ่มชนชั้นนำหวังลึกๆ ว่า การลงทุนจะเกี่ยวข้องกับบีอาร์ไอ หรือถนนสายไหม ของประเทศจีน ดังนั้นวิสัยทัศน์ที่ระบุนั้นคือแผนอีอีซี เพื่อตอบโจทย์การลงทุน สร้างอุตสาหกรรมใหม่ รวมถึงกระจายศูนย์กลางเศรษฐกิจไปยังรอบนอก โดยเฉพาะเมืองใกล้ชายทะเล เป็นต้น
ศ.ดร.อารยะ ปรีชาเมตตา
ขณะที่ประเด็นปัจจัยที่มีผลกระทบต่อเศรษฐกิจการเมืองไทย นั้น “ศ.ดร.อารยะ” กล่าวว่า มีทั้งปัจจัยภายนอก และนโยบายฝ่ายการเมืองรวมถึงฝ่ายทุนที่กุมอำนาจทางการเมือง อาทิ สงครามการค้าระหว่างสหรัฐอเมริกาและจีน, เศรษฐกิจการเมืองโลก รวมถึงการตัดสินใจทางการเมืองและกลุ่มทุนต่อนโยบายขับเคลื่อนประเทศ ดังนั้นสิ่งที่ต้องพิจารณาและระวังคือ โจทย์และความท้าทายใหม่ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต รวมถึงปัญหาในอดีต เช่นความเหลื่อมล้ำที่มีโครงสร้างแตกต่างจากอดีต
“โอกาสของประเทศที่จะก้าวข้ามกับดักทางเศรษฐกิจเกิดขึ้นได้ แม้จะกุมอำนาจได้ทั้งประเทศ แต่ตัวแปรของปัจจัยภายนอก หากระบบการค้าของโลกเป็นเสรี สามารถสร้างความเสถียรได้ แต่ต่อไปนั้นบริษัทขนาดใหญ่จะกุมอำนาจแบบข้ามพรมแดน แม้จะคุมภายในได้ จะไม่ตกเป็นของบริษัทต่างประเทศ หากไม่เพิ่มขีดความสามารถของแรงงานให้ทัดเทียมกับคู่แข่งขัน” ศ.ดร.อารยะ กล่าว
ข่าวที่เกี่ยวข้อง