คอลัมนิสต์

ยุค'ข่าวปลอม'ระบาด..(สื่อ)ทุกภาคส่วนต้องช่วยสกัด

เกาะติดข่าวสาร >> คมชัดลึก ออนไลน์
logoline

โดย... ทีมข่าวอาชญากรรม

 



          ปัจจุบันปัญหา “ข่าวปลอม” หรือ “เฟคนิวส์ (Fake news)” เป็นสิ่งที่สื่อมวลชนและผู้บริโภคต้องพบเจออยู่ทุกวัน ยิ่งในยุคโซเชียลมีเดียมีอิทธิพลต่อการดำเนินชีวิตของคนในยุคสมัยนี้ ที่ทุกคนเข้าถึงข้อมูลข่าวสารได้ง่าย ไม่เลือกเพศ ไม่จำกัดวัย ยิ่งทำให้ข่าวปลอมถูกพัฒนาส่งต่อได้ง่ายมากขึ้น เกิดวิกฤติข่าวปลอม ทำลายความถูกต้องของเนื้อข่าว แต่ก็มีสื่อมวลชนบางประเภท ที่อาศัยข่าวลวงบางลักษณะในการหารายได้ เพื่อประคับประคองสถานะของสื่อสารมวลชนในยุคที่เกิดการแข่งขันสูงในวงการสื่อให้เห็นอยู่เสมอ

 

 

          ด้วยเหตุนี้ สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย จึงมีการจัดเวทีเสวนา Media Forum ครั้งที่ 9 เรื่อง “ถอดบทเรียนปัญหาข่าวลวงในประเทศไทย กับทางออกเชิงสร้างสรรค์” หรือ “Fighting Fake news : Lesson-learned and constructive resolution” ซึ่งจัดโดย สภาการหนังสือพิมพ์แห่งชาติ, Friedrich Naumann Foundation, กองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์, คณะวารสารศาสตร์และสื่อสารมวลชน มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, และ Centre for Humanitarian Dialogue

 

 

 

ยุค'ข่าวปลอม'ระบาด..(สื่อ)ทุกภาคส่วนต้องช่วยสกัด

 


          นายชวรงค์ ลิมป์ปัทมปาณี ประธานสภาการหนังสือพิมพ์แห่งชาติ ได้เริ่มการเสวนาเรื่องนี้ โดยระบุว่า กรณีข่าวลวง หรือ เฟคนิวส์ ไม่ใช่ปัญหาที่เกิดเฉพาะในประเทศไทย แต่เกิดขึ้นทั่วโลก สำหรับในเอเชียจากการพบกับผู้แทนสื่อประเทศต่างๆ ได้หยิบยกเรื่องนี้มาปรึกษาหารือกัน ข้อสรุปหลายเวทีเห็นว่า ด้านหนึ่งข่าวลวงก็ถือเป็นประโยชน์ ทำให้สื่อหลักมีบทบาทจะต้องทำหน้าที่ตรวจสอบ ให้ข้อเท็จจริง สร้างความแตกต่างระหว่างสื่ออาชีพและสื่อไม่อาชีพ ไม่ตกเป็นเครื่องมือของคนที่ต้องการเผยแพร่ข่าวลวง ส่วนอีกด้านถือเป็นความท้าทายการทำงานหน้าที่สื่อ จากที่ต้องแข่งกันที่ความรวดเร็ว หากไม่ตรวจสอบก็จะเป็นปัญหา


          ขณะเดียวกันเมื่อไม่นานมานี้ประเทศสิงคโปร์ออกกฎหมายจัดการข่าวลวงข่าวปลอม เปรียบเสมือนขับรถไปตามถนนหลวง มีด่านตรวจ การตรวจเพื่อให้ทุกคนปลอดภัย แต่แน่นอนทำให้รถติด ไปลำบาก ในขณะที่ไทยซึ่งยังไม่มีกฎหมายนี้โดยตรง อาจเพราะมีเครื่องมือหลายตัวเพียงพออยู่แล้ว ถึงต่อไปจะออกเพิ่ม แต่ทางองค์กรวิชาชีพสื่อไม่เห็นด้วยกับการจำกัดการแสดงความเห็น โดยแต่ละฝ่ายต้องร่วมกันระแวดระวังต่อข่าวลวงข่าวปลอมให้ได้ ซึ่งที่ผ่านมาทำแล้วแต่ยังไม่เพียงพอ ดังนั้นจึงต้องทำต่อไป

 

 

 

ยุค'ข่าวปลอม'ระบาด..(สื่อ)ทุกภาคส่วนต้องช่วยสกัด

 



          เกี่ยวกับเรื่องนี้ น.ส.สุภิญญา กลางณรงค์ ประธานคณะทำงานคุ้มครองผู้บริโภคสื่อ สภาการหนังสือพิมพ์แห่งชาติ อธิบายว่า ข่าวลวงมีมานาน แต่ในสมัยยุคหนังสือพิมพ์การแพร่ไม่มากเท่ายุคออนไลน์ไร้พรมแดน ที่มีการผลิตซ้ำได้ ที่ผ่านมามีกรณีข่าวลวงการเมืองหลายเรื่อง เช่น ข่าว พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี จิบกาแฟแพง ซึ่งนักการเมืองหยิบไปแชร์ในเฟซบุ๊กส่วนตัว นำไปสู่การดำเนินคดีตาม พ.ร.บ. คอมพิวเตอร์ หรือคลิปเสียง นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ ที่มาจากโซเชียลมีเดีย ถูกสถานีโทรทัศน์บางช่องหยิบไปนำเสนอเป็นข่าว นอกจากข่าวการเมืองยังมีข่าวเรื่องอื่น เช่น ข่าวดารา ข่าวสุขภาพ ซึ่งมีผลกระทบ มีผลต่อผู้เกี่ยวข้องโดยตรง

 

 

ยุค'ข่าวปลอม'ระบาด..(สื่อ)ทุกภาคส่วนต้องช่วยสกัด

สุภิญญา กลางณรงค์

 


          "การแก้ปัญหาในระยะยาวอาจจะต้องพูดไปถึง “สิทธิที่จะถูกลืมในโลกออนไลน์” ยกระดับเป็นนโยบายสาธารณะ อย่างเรื่องข่าวลวง ควรจะต้องมีกลไกนำข่าวออกจากระบบหรือไม่ หรือแม้เรื่องจริงอย่างคลิปหลุด ที่จะต้องพิจารณา โดยจากข้อมูลของ เดอะการ์เดียน พบว่าคนไทย 52% เชื่อข่าวโซเชียล จะเห็นว่าหลายประเทศมีการรับมือกับข่าวลวง อย่างประเทศสิงคโปร์ออกกฎหมาย The protection from online falsehood and manipulation ซึ่งถูกมองว่าละเมิดสิทธิมนุษยชน หรือ ไต้หวัน ที่มีแชทบอท ของเอ็นจีโอ เขียนซอฟต์แวร์ เห็นข้อมูลอะไรจริงไม่จริงก็ส่งไปยังแชทบอท ซึ่งอาสาสมัครมาตรวจสอบแจ้งกลับ ขณะที่ สหรัฐมีการตั้งกลุ่มตรวจสอบเฟคนิวส์เยอะมาก ทว่าของไทยเราสื่อมวลชนอาชีพยังไม่ไม่ค่อยมีบทบาทตรวจสอบข่าวลวงเท่าที่ควร และบางครั้งก็เป็นฝ่ายเผยแพร่ข่าวลวงเสียเอง" น.ส.สุภิญญา แจกแจง 


          น.ส.สุภิญญา บอกอีกว่า แพลตฟอร์มออนไลน์ที่ทำธุรกิจในไทยยังไม่มีบทบาทในการร่วมแก้ปัญหา และผู้ใช้สื่อสังคมออนไลน์ยังตื่นตัวน้อย สำหรับทางออกเชิงสร้างสรรค์นั้น กองบรรณาธิการข่าวควรทำหน้าที่ตรวจสอบข่าวลวง โดยตั้งเป็น Newsroom Alert และภาคประชาสังคมจัดทำกลุ่มตรวจสอบข่าวลวงโดยใช้เทคโนโลยีมาช่วย

 

 

ยุค'ข่าวปลอม'ระบาด..(สื่อ)ทุกภาคส่วนต้องช่วยสกัด

 

 


          ด้าน ดร.มานะ ตรีรยาภิวัฒน์ อดีตคณบดีคณะนิเทศศาสตร์ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย อธิบายเสริมว่า ต้องแยกข่าวลวงที่ปรากฏผ่านสื่อมวลชนอาชีพ หรือใครก็ไม่รู้ เช่น พวกเกรียน หรือพวกหวังผลการเมือง ทางเศรษฐกิจ ซึ่งยุคนี้เป็นยุคสงครามข้อมูลข่าวสาร ดังจะเห็นว่า การปล่อยข่าวลวงที่นิยม คือ ปล่อยทางกลุ่มไลน์ ที่เป็นกลุ่มปิด เพราะเราพร้อมที่จะเชื่อข้อมูล และพร้อมที่จะแชร์ ซึ่งทุกฝ่ายต้องร่วมมือกันแก้ไขปัญหา โดยสิงคโปร์โมเดลที่ออกกฎหมายควบคุมนั้น เขาสามารถเจาะกลุ่มแชทไลน์ที่มีการส่งข้อมูล จนทำให้เกิดปัญหาสาธารณะ ด้านดีก็เป็นการจัดการกับข่าวลวง แต่จะรู้ได้อย่างไรว่าเป็นข่าวปลอมของรัฐ เพราะไม่ใช่ทุกอย่างที่มีผลกระทบกับผู้มีอำนาจคือเฟคนิวส์ อย่างไรก็ตามการแก้ปัญหาในส่วนขององค์กรวิชาชีพทั้งสื่อมวลชนและไม่สื่อมวลชน เพจต่างๆ ควรจัดเรตติ้งสื่อมวลชนโดยเฉพาะออนไลน์ ให้มีดัชนีชี้วัดชัดเจน องค์กรไหนไม่ตรวจสอบข้อมูล คะแนนเรตติ้งก็จะลดลง

 

 

ยุค'ข่าวปลอม'ระบาด..(สื่อ)ทุกภาคส่วนต้องช่วยสกัด

ดร.มานะ ตรีรยาภิวัฒน์

 


          ขณะที่ ผศ.ดร.วิไลวรรณ จงวิไลเกษม อาจารย์คณะวารสารศาสตร์และสื่อสารมวลชน มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ระบุว่า ภายหลังเลือกตั้งเราเริ่มมีการตั้งรัฐบาล เราพบเฟคนิวส์เยอะมาก ซึ่งมีสองคำถามสำคัญคือ ข่าวลวงเกิดจากอะไรและจะแก้ปัญหาอย่างไร คำถามแรก ข่าวลวงเกิดจากอะไรนั้น ต้องถามว่า 1.คนทำสื่อจะไม่รู้เลยหรือว่าข้อมูลที่ตัวเองได้มาคือเฟคนิวส์ 2.คนทำสื่อไม่ตระหนักหรือไม่ และ 3.คนทำสื่อมีอคติหรือไม่ ถึงกระนั้นการจัดการแก้ปัญหาในแต่ละประเทศแตกต่างกันไป การกำกับตัวเอง กำกับกันเอง หรือ รัฐเข้ามาจัดการ เท่ากับเสรีภาพของคนทำสื่อได้รับผลกระทบ หรือใช้รูปแบบอย่างตะวันตก คือ Fact Checking แต่ในยุคที่ทุกคนแข่งกับความไว ให้อำนาจใหญ่มากกับนักข่าวให้สามารถโพสต์ข่าวได้ ซึ่งไม่แน่ใจว่ามีการตรวจสอบข้อเท็จจริงหรือไม่ โดยจะเห็นว่ายุคปัจจุบัน บทบาทเกตคีปเปอร์ลดน้อยลงไปมาก

 

 

ยุค'ข่าวปลอม'ระบาด..(สื่อ)ทุกภาคส่วนต้องช่วยสกัด

ผศ.ดร.วิไลวรรณ จงวิไลเกษม

 


          “หากกองบรรณาธิการไม่มีการกำกับตัวเอง ต่อไปรัฐอาจจะเข้ามากำกับเหมือนสิงคโปร์ ดังนั้นต้องย้อนกลับไปให้แต่ละองค์กรข่าว ควรกำกับกันเองก่อน ขณะที่คนอ่านและคนดูข่าวคุณภาพ หลีกเลี่ยงคลิกเบท ดังนั้นต้องฝากคนทำสื่อว่า หากคุณไม่กำกับตัวเอง รัฐก็จะเข้ามากำกับ กลายเป็นความรุนแรงเชิงโครงสร้างที่น่ากลัวมาก” ผศ.ดร.วิไลวรรณ กล่าวย้ำ 


          นอกจากนี้ น.ส.สถาพร อารักษ์วทนะ ในฐานะนักวิชาการมูลนิธิเพื่อผู้บริโภค บอกว่า ในช่วงไตรมาสแรกของปีนี้ ได้รับเรื่องร้องเรียนจากผู้บริโภคมากที่สุดคือเรื่อง อาหาร ยา และ ผลิตภัณฑ์สุขภาพ ซึ่งระบุว่าได้ข้อมูลจากร้านค้าและสังคมออนไลน์ แต่เมื่อตามในเว็บไซต์ข่าวออนไลน์ต่างๆ จะพบพื้นที่โฆษณาที่ระบุว่าเป็นสปอนเซอร์ และหลายเว็บไซต์ พบว่า เป็นเฟคนิวส์ที่ทั้งผิดพลาด จงใจ และเป็นแอดเวอร์ทอเรียล แต่ชาวบ้านทั่วไปไม่เข้าใจว่า แอดเวอร์ทอเรียลคืออะไร ซึ่งสุดท้ายส่งผลกระทบต่อสุขภาพของชาวบ้าน จากการตรวจสอบยังพบว่ามีการตัดปะ ปลอมโลโก้เอาไปเขียนข่าว ปลอมชื่อเว็บไซต์ที่มีตัวสะกดคล้ายๆ กัน ถึงขั้นแอบอ้างชื่อกระทรวงสาธารณสุข 


          “ดังนั้นเสนอว่ารัฐบาลจะต้องมีแหล่งตรวจสอบข้อมูล เพื่อให้ผู้บริโภคเข้าถึงได้ ควบคู่ไปกับการบังคับใช้กฎหมายที่มีอยู่อย่างจริงจังฉับไว รวมไปถึงฐานข้อมูลของภาครัฐเช่น อย. ที่ควรจะเปิดให้ผู้บริโภคสามารถเข้าถึงเพื่อตรวจสอบได้ นอกจากนี้ กองบรรณาธิการสื่อหลัก ควรมีจุดยืนที่ชัดเจนต่อกรณีเฟคนิวส์ ว่า จะทำอย่างไร เช่น มาตรการการเอาเฟคนิวส์ออกจากระบบทันทีเมื่อพบ” น.ส.สถาพร เสนอแนะ


          ข่าวปลอมที่เกิดขึ้นทำให้สับสน เพิ่มความเกลียดชัง สร้างความแตกแยก อาจกระทบถึงความมั่นคงของชาติ ข่าวปลอมเรื่องต่างๆ ที่ผ่านมาจะยังไม่ใช่ชิ้นสุดท้าย แต่จะถูกผลิตออกมาอย่างต่อเนื่องและมีแนวโน้มมากขึ้น ดังนั้นสื่อมวลชนต้องมีการคัดกรองข่าวที่เข้มข้นมากขึ้น และช่วยกันผลิตข่าวจริงออกมาเพื่อความน่าเชื่อถือ ยึดหลักความถูกต้องและรับผิดชอบต่อสังคม

 

logoline
แท็กที่เกี่ยวข้อง

ข่าวที่น่าสนใจ