คอลัมนิสต์

พรรคไม่มีทางต่ำกว่าอันดับที่สอง 'อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ'

เกาะติดข่าวสาร >> คมชัดลึก ออนไลน์
logoline

โดย...  ทีมข่าวการเมือง เครือเนชั่น


 

          “อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวกับ “เครือเนชั่น” ถึงความพร้อมการเลือกตั้งว่า พรรคมีพร้อมที่จะส่งผู้สมัคร ส.ส.ทั้งสองระบบในการเลือกตั้งครั้งนี้ หากถามว่าที่ผ่านมาพรรคแพ้เลือกตั้งหลายครั้ง แต่ครั้งนี้มั่นใจเพราะสถานการณ์บ้านเมืองวันนี้ประชาชนอยากหลุดวังวนเดิมๆ ต้องการให้การเมือง เศรษฐกิจ ดีขึ้น แนวทางคำตอบพรรคพร้อมเสนอแคมเปญและนโยบายหาเสียงครั้งนี้ คิดมาหลายปีในการสอบถามประชาชนจนมีคำตอบเป็นระบบที่สุด

 

 

          หากมีคนถามว่าพรรคสีฟ้าในยุคที่ “อภิสิทธิ์” นำทัพนั้น “ปชป.ไม่เคยชนะ” คราวนี้มั่นใจเพียงใด หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า “สิบสามปีที่ผมเป็นหัวหน้าพรรค ลงนำเลือกตั้งและแพ้สองครั้ง ผมแสดงความารับผิดชอบทุกครั้ง(ลาออกจากหัวหน้าพรรค) แต่ช่วงที่ผมเข้ามาทำหน้าที่ ช่องห่างของพรรคประชาธิปัตย์ห่างจากพรรคพลังประชาชนเหลือสองแสนกว่าคะแนน หลังจากที่โดนทิ้งห่างกว่าสิบล้านคะแนนในช่วงพรรคไทยรักไทยสมัยที่สอง(คะแนนพรรค) ต่อมาพรรคก็แพ้พรรคเพื่อไทย แต่แพ้ในมุมมองที่เห็นทางว่าควรแก้ไขอย่างไร และแพ้อย่างเข้มแข็ง ครั้งนี้มั่นใจว่าผู้สนับสนุนพรรคที่เหนียวแน่น มีคนรุ่นใหม่ที่มีสิทธิเลือกตั้งครั้งแรก การตอบรับพรรคจากสังคมนั้นดีมาก และยังมีคนรุ่นใหม่เข้าพรรคเพื่อทำงาน ตรงนี้คือโอกาสพลิกและมีคะแนนเสียงเพิ่มขึ้น”


          หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า "แม้โพลล์หลายสำนักบอกว่าพรรคจะแพ้พรรคเพื่อไทยในคราวนี้ ผมตั้งข้อสังเกตที่โพลล์มองไว้อีกมุมนะ แต่เอาแบบนี้พรรคไม่มีทางต่ำกว่าอันดับที่สอง ผมพูดตามสถิติที่วิเคราะห์กัน แม้คู่แข่งสำคัญคือพรรคเพื่อไทยที่มีฐานเสียงเหนียวแน่น”


          แม้หลายเขตจะมีการชนช้างเพราะคู่แข่งที่เพิ่มขึ้น โอกาสของพรรคจะลดลงหรือไม่นั้น อภิสิทธิ์ กล่าวว่า “จะมองแบบนั้นไม่ได้ มันขึ้นอยู่กับคะแนนที่รวมทั้งหมดทั่วประเทศ เพราะการคิดจำนวน ส.ส.หลังเลือกตั้ง(ปาร์ตี้ลิสต์) จะนำมาคิดจากคะแนนรวมทั้งประเทศว่ามีคนมาใช้สิทธิเท่าใดแล้วนำจำนวนนั้นมาคำนวณ ส.ส.ปาร์ตี้ลิสต์ และยังต้องวิเคราะห์คะแนนในแต่ละเขตเข้ามาด้วย หลายเขตที่พรรคเคยชนะเยอะ วันนี้อย่าคิดแบบนั้น เพราะชนะได้แปดหมื่นคะแนนกับชนะสี่หมื่นคะแนน มันแตกต่างกันเยอะ ส่วนบางเขตที่พรรคไม่ชนะ แต่ผู้สมัคร ส.ส.ของพรรคก็ต้องทำงาน เพราะหนึ่งคะแนนก็อาจช่วยให้พรรคเป็นรัฐบาลได้”




          หากถามว่าทำไมสังคมไม่จำภาพของพรรคในการแก้เศรษฐกิจ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า "ขอเรียนว่าสองครั้งที่พรรคเข้ามาเป็นรัฐบาลคือช่วงวิกฤติต้มยำกุ้งและวิกฤติแฮมเบอร์เกอร์ มันมาเกิดขึ้นในช่วงที่พรรคเข้ามาเป็นรัฐบาล ย้ำว่าภาวะเศรษฐกิจตอนนั้นไม่ปกติ ไม่มีชาติใดในโลกทำเศรษฐกิจเฟื่องฟูได้ในช่วงนั้น วันนั้นพรรคซึ่งเป็นรัฐบาลมีหน้าที่กอบกู้ ฉะนั้นภาพจำของสังคมจึงไม่อยู่ในภาพจำยุคที่เศรษฐกิจรุ่งเรือง แต่ภาวะเศรษฐกิจครั้งนี้แก้ง่ายกว่าสองครั้งนั้นมาก และพรรคตั้งใจไปแก้


          พรรคเริ่มระบบสวัสดิการ และมาตรการ “แก้จน สร้างคน สร้างชาติ” ที่เป็นภารกิจที่พรรคจะใช้หาเสียงคราวนี้ ผมไม่ดีใจที่คนจนเพิ่มและต้องแจกเงินเพิ่ม เราควรดีใจที่คนมารับบัตรสวัสดิการลดลง ที่ผ่านมาเราใช้โครงการเช็คช่วยชาติและประกันราคาสินค้าเกษตรกร เบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ การเรียนฟรี ตรงนี้คือการช่วยเหลือสังคมเบื้องต้น ส่วนบัตรสวัสดิการนั้นมันเป็นปลายเหตุ


          วันนั้นไม่มีใครบอกว่านโยบายประกันราคาสินค้าเกษตรไม่ดี แต่เราแพ้โครงการจำนำข้าว(นโยบายพรรคเพื่อไทย)ที่ดึงดูดใจมากกว่า บทเรียนวันนี้นโยบายจำนำข้าวไม่ยั่งยืนและมีการทุจริต รวมทั้งเสียขีดความสามารถทางการแข่งขันของข้าวไทย รวมทั้งประเทศเป็นหนี้อีกหลายปี ตรงนี้เราเคยเตือนไว้แล้วตั้งแต่วันแรกๆ ที่เปิดประชุมสภาผู้แทนฯ และตอนหาเสียงในครั้งนั้น หากสังคมยังเลือกแบบนั้น(โครงการจำนำข้าว) ผมเคารพการตัดสินใจเพราะเราคิดว่านโยบายที่เราเสนอนั้นเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดต่อสังคมแล้ว


          “ผมไม่เปลี่ยนจุดยืน หากใครนำโครงการจำนำข้าวมาใช้หาเสียงอีก เราเอาความจริงมาพูดถึงอันตรายของโครงการแบบนี้ ย้ำว่าผมไม่แข่งการเพิ่มงบในแต่ละโครงการ และไม่เพิ่มงบแบบล้มละลาย นโยบายต่างๆ พรรคจะแจ้งรายละเอียดการใช้งบ และการหางบมาใช้อย่างละเอียดต่อสังคม ยืนยันเวลาที่เราจะใช้งบนั้นเราตีกรอบและมีวินัยการเงินการคลังที่เคร่งครัด รวมทั้งฐานภาษีและการเก็บภาษีคนที่มีกำลังจ่าย จำเป็นต้องจ่ายเพิ่มในวันที่สังคมไทยจะแก้ความเหลื่อมล้ำในสังคม คนที่รู้สึกแบบนี้คงคิดถึงโครงสร้างภาษีที่มีอยู่ในปัจจุบันที่เป็นปัญหา ผมย้ำเสมอว่าการที่พรรคเสนอโครงการสวัสดิการต่างๆ เยอะ จะลดความเหลื่อมล้ำได้ หากไม่ปฏิรูปภาษี การลดความเหลื่อมล้ำในสังคมจะทำไม่ได้ ผมไม่เห็นพรรคใดพูดนะว่าจะนำเงินมาจากไหน แต่สิ่งหนึ่งที่ผมจะบอกสังคมว่าการลดความเหลื่อมล้ำระบบภาษีต้องมีการปฏิรูปเพื่อจะรู้ที่มาของงบประมาณที่จะนำมาใช้”


          ส่วนที่หลายคนบอกว่าพรรคพูดเก่งแต่ทำอะไรไม่ค่อยได้นั้น หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า “ไปย้อนดูเลย ตอนที่ผมหาเสียงไว้นั้น แล้วเมื่อผมมาเป็นรัฐบาล ผมปฏิบัติตามสัญญาประชาคมที่ให้ไว้หรือไม่(นโยบาย 99 วันทำได้จริง)”


          สำหรับที่มีการตั้งคำถามว่าหากหลังวันเลือกตั้ง พรรคมีโอกาสตั้งรัฐบาล จะจัดการกับบุคคลในครอบครัวชินวัตรอย่างไร หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า “หากผมได้โอกาสนั้นก็ทำหน้าที่บริหารประเทศในเรื่องอื่นๆ กรณีดังกล่าวที่ถามมานั้น อยู่ในกระบวนการยุติธรรม และที่ผ่านมาได้ติดตามตัวบุคคลเหล่านี้และชี้แจงนานาชาติไปแล้ว ยืนยันไม่ละเว้น แต่เรื่องแบบนี้มันไม่ใช่ทำกันง่ายๆ ที่จะติดตามตัว หากมันง่าย สี่ปีเศษที่ผ่านมาคงจะจัดการได้แล้วกับกรณีนี้ คดีหลักๆ ที่กระบวนการยุติธรรมพิจารณานั้น ผมมีความเห็นว่าไม่พบข้อเคลือบแคลงใดๆ หากถามว่าคดีความที่พวกผมถูกดำเนินคดีอยู่นั้น ผมขอให้ดำเนินการตามขั้นตอนกระบวนการยุติธรรมและยอมรับผล ส่วนคดีที่มีการถามกันในข้างต้น ส่วนตัวมองว่าวันข้างหน้าอาจทำอะไรได้มากสุดคือขอพระราชทานอภัยโทษ แต่จะตัดตอนกระบวนการยุติธรรมเลยนั้น มันไม่ใช่เรื่องและคงทำไม่ได้ คราวก่อนนั้นผมมีโอกาสหนุนร่างกฎหมายนิรโทษกรรมเพื่อให้ผมหลุดคดี ผมยังออกไปคัดค้านเลย ยืนยันผมไม่หลบหนีคดีแน่นอน เพราะผมเชื่อสิ่งที่กระทำและปฏิบัติตามกระบวนการยุติธรรม”


          ต่อข้อถามวันข้างหน้าต้องร่วมรัฐบาลกับพรรคอื่นๆ เช่น พรรคเพื่อไทย เสนอให้ "อภิสิทธิ์” รับตำแหน่งนายกฯ จะรับข้อเสนอนี้หรือไม่ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า “ไม่เห็นเหตุผลที่จะเกิดโอกาสแบบนั้น แต่วันนั้นต้องดูการลงมติในสภาและห้ามคนลงคะแนนไม่ได้ วันนั้นต้องดูผลคะแนนและเดินไปตามระบบ ย้ำว่าการตั้งรัฐบาลของผมนั้นจะไม่ขัดอุดมการณ์ของพรรคและผม หรือมีการเปิดให้ผมเป็นนายกฯ แล้วต้องแลกกับการออกกฎหมายนิรโทษกรรม มันเป็นไปไม่ได้ และผมไม่ทำแบบนั้น”


          “การจับมือกับพรรคใดเป็นรัฐบาล ย้ำว่าต้องทำตามอุดมการณ์ของพรรคและของผมเท่านั้น ผมขอย้ำว่าผมไม่เคยแทงกั๊กทางการเมือง มีแต่คนพยายามถามผมว่าหลังเลือกตั้งจะให้ใครบางคนอยู่ต่อหรือจะพาใครกลับบ้านได้ไหม ย้ำว่าผมไม่เคยได้ยินคำถามแนวนี้ตอนลงพื้นที่นะ”


          หากจะให้คาดการณ์ผลเลือกตั้งครั้งนี้ จะประเมินแบบใด หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า “การเลือกตั้งครั้งนี้ อย่าประมาท เพราะบางครั้งเกิดกระแสอะไรไม่รู้ เหตุแบบนี้เคยเกิดขึ้นแล้ว บางพรรคในบางประเทศก็ชนะแบบถล่มทลาย การเลือกตั้งครั้งนี้ในไทยก็เช่นกัน”

logoline

ข่าวที่น่าสนใจ