คอลัมนิสต์

จาก"เสือดำ"ถึง"หมีขอ"เกมล่าป่าสะอื้น!

เกาะติดข่าวสาร >> คมชัดลึก ออนไลน์
logoline

กรณี"ล่าเสือดำ"ป่าทุ่งใหญ่นเรศวร ด้านตะวันตกหากมองพฤติการณ์แห่งคดีถือว่าคล้ายกับคดีลักลอบล่าสัตว์ป่าอื่นๆที่เกิดขึ้นปีละหลายครั้งหลายหน..แต่ไม่ค่อยมีใครใส่ใจนัก

 



          ทว่ากรณีที่เกิดกับเจ้าเสือเคราะห์ร้ายตัวนี้กลับเป็นข่าวอื้อฉาวสะเทือนสังคมนิยมไพรขึ้นมาก็ด้วยเหตุที่นักล่าในกลุ่มนี้มีชื่อนักธุรกิจใหญ่ระดับอภิมหาเศรษฐีแถวหน้าของประเทศ นามว่า เปรมชัย กรรณสูต เป็นหัวหน้าทีมนั่นเอง

 


          เดิมทีการจับกุมเจ้าสัวเปรมชัย กับบรรดาลูกลูกน้อง เป็นเพียงปฏิบัติการเงียบๆ ที่เกิดขึ้นตั้งแต่บ่ายวันที่ 4 กุมภาพันธ์ 2561 ก่อนที่อีก 2 วันต่อมา จะมีการแจ้งข่าวผ่านทางเฟซบุ๊ก “คนอนุรักษ์” จึงทำให้เรื่องนี้เกรียวกราวขึ้นมาจนนำไปสู่การปลุกกระแสโกรธแค้นและเกลียดชังขึ้นในสังคมไทยอย่างรวดเร็ว


          การจับกุมเจ้าสัวเปรมชัยนั้น ตามรายงานข่าวระบุว่า ตอนบ่ายวันที่ 4 กุมภาพันธ์ วิเชียร ชิณวงษ์ หัวหน้าเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าทุ่งใหญ่นเรศวร ด้านตะวันตก อ.ทองผาภูมิ จ.กาญจนบุรี ได้รับแจ้งว่าพบนักท่องเที่ยวกลุ่มหนึ่งตั้งแคมป์พักในบริเวณห้ามตั้ง จึงนำเจ้าหน้าที่ออกไปตรวจสอบ 


          เมื่อไปถึงก็พบว่าหนึ่งในกลุ่มนักท่องเที่ยวมี เปรมชัย กรรณสูต ประธานบริหารและกรรมการผู้จัดการ บริษัท อิตาเลียนไทย ดีเวล๊อปเมนต์ จำกัด (มหาชน) หรือ ITD อยู่ด้วย


          จากการตรวจสอบบริเวณเต็นท์ที่พักของนักท่องเที่ยวกลุ่มนี้พบซากสัตว์ป่าคุ้มครอง คือ ไก่ฟ้าหลังเทา ซากเนื้อเก้ง จึงได้ขยายพื้นที่ตรวจสอบออกไปและก็พบอาวุธปืนลูกกรดติดลำกล้อง 1 กระบอก ปืนไรเฟิลติดลำกล้อง 1 กระบอก และปืนลูกซองแฝด 1 กระบอก พร้อมเครื่องกระสุนอีกมาก 

 

          ที่สำคัญ ! ใกล้กับจุดพบอาวุธปืนที่ซ่อนอยู่ ยังพบซากเสือดำถูกชำแหละและถลกหนังอีก 1 ตัว 


 


          เจ้าสัวเปรมชัย และพวกอีก 3 คน ถูกควบคุมตัวไปสอบสวนยังที่ทำการเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าทุ่งใหญ่นเรศวรฯ ก่อนส่งตัวไปดำเนินคดีที่ สภ.ทองผาภูมิ ในเวลาถัดมา


          การทำคดีที่มีผู้ถูกกล่าวหาเป็นถึงนักธุรกิจชื่อดังของประเทศสร้างความกดดันแก่เจ้าหน้าที่ตำรวจค่อนข้างมาก ยิ่งเมื่อเป็นข่าวอื้อฉาวออกไปเช่นนั้นแล้ว สังคมออนไลน์ยิ่งให้ความสนใจ และเมื่อนานวันเข้า คดียังไม่มีความคืบหน้า สังคมก็เริ่มวิพากษ์วิจารณ์หนักขึ้น ด้วยเป็นห่วงว่าจะมีการใช้อิทธิพลเข้ามากดดันการทำงานของตำรวจเพื่อให้เจ้าสัวเปรมชัย พ้นข้อกล่าวหา 


          และนั่นจึงเป็นที่มาของการปลุกกระแส “เสือดำต้องไม่ตายฟรี” พร้อมกับมีงานศิลปะแบบกราฟิตี้เป็นภาพเสือดำบนกำแพงข้างถนนผุดขึ้นทั่วประเทศ เพื่อแสดงเป็นสัญลักษณ์ในการเรียกร้องความยุติธรรม


          ขณะที่ พล.ต.อ.ศรีวราห์ รังสิพราหมณกุล รอง ผบ.ตร. ซึ่งได้รับมอบหมายให้ลงมาคุมคดีนี้ และถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่ามีท่าทีนอบน้อมต่อเจ้าสัวเปรมชัย ซึ่งเป็นผู้ต้องหาอย่างออกนอกหน้า ก็ยืนยันหนักแน่นว่า จะทำคดีอย่างตรงไปตรงมา


          กระนั้น ตลอดระยะเวลาเกือบ 2 เดือนของการสอบสวน สังคมได้ตั้งคำถามมากมายเกี่ยบกับการทำคดีของตำรวจ ซึ่งถูกมองว่าเป็นไปอย่างล่าช้า ผิดกับคดีลักษณะความผิดเดียวกันที่ผู้ต้องหาเป็นชาวบ้านธรรมดา ตำรวจใช้เวลาแค่ไม่กี่วันก็สรุปสำนวนส่งอัยการฟ้องศาลได้ทันที  


          อย่างไรก็ตาม คดี “ล่าเสือดำ” ในที่สุดแล้วพนักงานสอบสวนใช้เวลาประมาณ 2 เดือน สรุปสำนวนเสนออัยการจังหวัดทองผาภูมิ ส่งฟ้องผู้ต้องหาต่อศาลจังหวัดทองผาภูมิ โดยมีเจ้าสัวเปรมชัย และพวกรวมทั้งหมด 4 คน เป็นจำเลย เมื่อวันที่ 30 เมษายน ใน 6 ข้อหา ได้แก่ 

 

          1.ร่วมกันพกพาอาวุธปืนไปในเมืองหมู่บ้านหรือทางสาธารณะโดยไม่ได้รับอนุญาต 2.ร่วมกันล่าสัตว์ในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าโดยไม่ได้รับอนุญาต 3.ร่วมกันล่าสัตว์ป่าคุ้มครองโดยไม่ได้รับอนุญาต 4.ร่วมกันมีไว้ครอบครองซึ่งซากสัตว์ป่าคุ้มครองโดยที่ไม่ได้รับอนุญาต 5.ร่วมกันช่วยซ่อนเร้นช่วยพาเอาไปเสียหรือรับไว้ซึ่งซากสัตว์ป่าอันได้มาโดยกระทำความผิดกฎหมาย และ 6.ร่วมกันเก็บหาของป่าในเขตป่าสงวนแห่งชาติโดยไม่ได้รับอนุญาต


          เจ้าสัวเปรมชัย ไม่เพียงถูกจับกุมในคดี “ล่าเสือดำ” เท่านั้น แต่ยังถูกดำเนินคดี ข้อหามีอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต ตาม พ.ร.บ.อาวุธปืนและเครื่องกระสุนฯ พ.ศ.2490 ซึ่งเป็นผลจากการขยายผลเข้าตรวจค้นที่บ้านพักเลขที่ 12/3 ซ.ศูนย์วิจัย 3 แขวงบางกะปิ เขตห้วยขวาง กทม.


          นอกจากนี้ยังถูกดำเนินคดีในความผิดร่วมกับภรรยา และคนใกล้ชิด ร่วมกันครอบครองงาช้างแอฟริกา 2 คู่โดยไม่ชอบ รวมทั้ง คดีบุกรุกป่าใน อ.ด่านซ้าย และ อ.ภูเรือ จ.เลย รวมกว่า 6 พันไร่ และคดีติดสินบนเจ้าหน้าที่ขณะถูกจับกุมที่ป่าทุ่งใหญ่นเรศวร 


          ขณะนี้คดีทั้งหมดอยู่ในชั้นศาล โดยคดี “ล่าเสือดำ” หลังจากศาลจังหวัดทองผาภูมิ สืบพยานโจทก์เสร็จสิ้นไปแล้วเมื่อวันที่ 18 ธันวาคม จากนั้นเป็นการสืบพยานฝ่ายจำเลย โดยเจ้าสัวเปรมชัย เพิ่งขึ้นเบิกความเป็นปากแรกไปเมื่อวันที่ 19 ธันวาคม ที่ผ่านมานี่เอง


          *สิ้นเสือดำ-ถึงคราหมีขอ*
          เมื่อครั้งเกิดเรื่องร้ายกับเจ้าเสือดำ ซึ่งได้รับการยืนยันจากเจ้าหน้าที่อุทยานฯ ว่าเป็นสัตว์ที่เชื่องและคุ้นเคยกับผู้คนมากตัวหนึ่งในป่าทุ่งใหญ่นเรศวรฯ สังคมบ้านเรามีความตื่นตัวกับกระแสอนุรักษ์ธรรมชาติอย่างหาได้ยาก จนถึงขั้นมีความหวังว่าชีวิตของเจ้าเสือน้อยตัวนี้จะเป็นเกราะคุ้มครองชีวิตสัตว์ป่าตัวอื่นๆ ให้พ้นจากการถูกคุกคามอย่างยั่งยืนต่อไป


          แต่หลังเหตุการณ์ผ่านไประยะหนึ่ง กระแสอนุรักษ์ที่เคยเข้มข้นกลับแผ่วเบา และจางหาย 


          เมื่อชีวิตเจ้าเสือน้อยสิ้นความขลัง สรรพชีวิตในพงไพรจึงระส่ำซ้ำ 


          “เจ้าหมีขอ” จอมซนแห่งป่าเต่าดำเป็นสัตว์ตัวแรกบนพื้นที่ข่าวที่ตกเป็นเหยื่อความบัดซบของมนุษย์บาปหนาต่อจากเจ้าเสือดำ เมื่อมันถูกพบเป็นซากถูกชำแหละซุกอยู่ในรถของคาราวานนักล่าอย่างน่าหดหู่ 


          กรณีนี้เกิดขึ้นห่างจากกรณีล่าเสือดำ 8 เดือน ขณะนั้น พนัชกร โพธิบัณฑิต หัวหน้าอุทยานแห่งชาติไทรโยค จ.กาญจนบุรี ได้รับรายงานจากหัวหน้าหน่วยพิทักษ์อุทยานแห่งชาติ ที่ ทย.6 (เขาพลู)ว่ ามีรถออฟโรด 6 คัน เข้าไปพักค้างแรมในป่า บริเวณสำนักสงฆ์เต่าดำ ภายในเขตอุทยานแห่งชาติไทรโยค โดยนำเครื่องดื่มแอลกอฮอล์และอาวุธปืนเข้าไปด้วย


          เมื่อเข้าไปตรวจสอบก็พบขบวนคาราวานออฟโรดที่ว่า มีผู้ร่วมคณะมาทั้งหมด 15 คน ในรถคันที่มี อนุสรณ์ เรือนงาม อส.อำเภอด่านมะขามเตี้ย จ.กาญจนบุรี เป็นคนขับพบปืนไรเฟิลติดกล้องพร้อมเครื่องเก็บเสียงและอุ้งเท้าหมีขอ 4 เท้า 


          ที่น่าตกใจ นักล่ากลุ่มนี้มีชื่อ วัชรภัย สมีรักษ์ ปลัดอำเภอด่านมะขามเตี้ย รวมอยู่ด้วย แต่เจ้าหน้าที่สอบปากคำเท่าไรก็ไม่ยอมรับสารภาพ และอ้างว่าอุ้งเท้าหมีขอที่ตรวจยึดได้นั้น พวกเขาแวะซื้อจากชาวบ้านที่ขี่มอเตอร์ไซค์ผ่านมากลางทางระหว่างกำลังออกจากป่า 


          แต่ตอนหลังเมื่อทั้งหมดถูกส่งตัวให้ตำรวจ สภ.ไทรโยค ดำเนินคดี และ พล.ต.อ.ศรีวราห์ ลงมาสอบปากคำด้วยตัวเอง อนุสรณ์ จึงยอมเปิดปากสารภาพว่าชิ้นส่วนหมีขอตัวนี้ได้มาจากการล่า แต่ก็ยังอ้างว่า ตาต้า ชาวกะเหรี่ยงคนดูแลสำนักสงฆ์เต่าดำ ที่พวกเขานำคณะไปทำบุญและพำนักค้างแรมที่นั่นเป็นคนยิง


          แต่ถึงกระนั้น ตำรวจไม่เชื่อคำให้การ และจากการใช้เวลาสอบสวนและรวบรวมพยานหลักฐานนานเกือบ 2 เดือน จนกระทั่งวันที่ 4 ธันวาคม ที่ผ่านมา ตำรวจได้สรุปสำนวนเสนออัยการสั่งฟ้องผู้ต้องหารวม 14 คน ใน 17 ข้อหา 


          โดยข้อหาหลักได้แก่ร่วมกันเข้าไปในเขตอุทยานแห่งชาติ และล่าสัตว์ป่าคุ้มครอง มีไว้ในครอบครองซึ่งซากสัตว์ป่าคุ้มครอง หรือซากสัตว์ป่าสงวน กระทำการใดๆ อันเป็นการเสื่อมเสียแก่สภาพป่าฯ พ.ร.บ.อาวุธปืน รวมถึงความผิดฐานบริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในบริเวณวัด
ส่วน วัชรภัย ปลัดอำเภอด่านมะขามเตี้ย นอกจากถูกดำเนินคดีอาญาแล้ว เขายังถูกสอบสวนวินัยร้ายแรงและถูกสั่งให้ออกจากราชการไปก่อนหน้านี้แล้ว


          “เดิมทีการจับกุมเจ้าสัวเปรมชัย กับบรรดาลูกลูกน้องเป็นเพียงปฏิบัติการเงียบๆ ที่เกิดขึ้นตั้งแต่บ่ายวันที่ 4 กุมภาพันธ์ 2561 ก่อนที่อีก 2 วันต่อมา จะมีการแจ้งข่าวผ่านทางเฟซบุ๊ก “คนอนุรักษ์” จึงทำให้เรื่องนี้เกรียวกราวขึ้นมาจนนำไปสู่การปลุกกระแสโกรธแค้นและเกลียดชังขึ้นในสังคมไทยอย่างรวดเร็ว”

logoline

ข่าวที่น่าสนใจ