
ยกแรกแถลงนโยบาย'ของจริง-เผาจริง'
"ของจริง"แล้วก็"เผาจริง" : ขยายปมร้อน โดย ศรุติ ศรุตา
ถึงแม้ว่าพรรคประชาธิปัตย์จะได้ชื่อว่าเป็นพรรคที่เชี่ยวชาญชำนาญเกมในสภา แต่เมื่อเจอกับ รัฐบาล ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ที่ลอกแบบพี่ชายมา การทำหน้าที่ฝ่ายค้านของพรรคประชาธิปัตย์ก็อาจจะไม่ได้ตามเป้าที่วางเอาไว้แต่แรก
แต่ในการแถลงนโยบายวันแรกก็จะชี้ให้เห็นถึงภาพลักษณ์ของ ยิ่งลักษณ์ เพราะนั่นจะแสดงให้เห็นว่า ยิ่งลักษณ์ กล้าที่จะนำในเวทีสภาหรือไม่
แต่ถ้าเป็นไปอย่างแผนที่ได้วางเอาไว้ ก็คือ ให้ ยิ่งลักษณ์ ขึ้นมาอ่านนโยบาย 34 หน้า จบแล้วเมื่อ อภิสิทธิ์ นำฝ่ายค้านซักถาม อภิปราย แล้วยิ่งลักษณ์ ก็มอบหมายให้ รองนายกฯ ที่ได้วางตัวเอาไว้ หรือรัฐมนตรีที่รับผิดชอบเป็นผู้ตอบ ก็ไม่ได้ผิดกฎกติกาใดๆ แต่อย่าไปพูดถึง "ภาวะผู้นำ"
ถึงแม้ว่า ก่อนหน้านี้ภาวะผู้นำของยิ่งลักษณ์ จะไม่ได้ฉายออกมาให้เห็น เพราะมีพี่ชายยืนกำกับบทอยู่ แต่หาก ยิ่งลักษณ์ เป็นของแท้ ไม่ใช่ "โคลนนิ่ง" หรือ "หุ่นกระบอก" โอกาสนี้แหละที่จะทำให้เห็นว่า ประชาชนคนไทยสามารถเชื่อมั่นนายกรัฐมนตรีหญิงคนนี้ได้
แต่หากเลือกเดินตามบทที่ถูกกำกับเอาไว้ ปล่อยให้รัฐสภาอภิปรายกันเสร็จครบกำหนดแล้วค่อยหยิบ "สคริปต์" มาเปิดอ่านตอนจบ นั่นก็ถือว่า เป็นกรรมของบ้านเมือง
สมัยรัฐบาลอภิสิทธิ์ เรื่องภาวะผู้นำถูกตั้งคำถามตั้งแต่แรก จนถึงเกือบตอนท้ายของอายุรัฐบาลเป็นอย่างไร รัฐบาลยิ่งลักษณ์ ก็จะต้องเผชิญกับสิ่งเดียวกัน
นั่นเป็นเพราะคนที่คิดแผนนั้นอาจจะมีแก่นแกนเดียวกันกับสมัยรัฐบาลทักษิณ ที่ไม่ให้ความสำคัญต่อสภา เสียงส.ส.จะจำเป็นก็ต่อเมื่อต้องการโหวต ส่วนการตรวจสอบเป็นสิ่งที่ต้องหลีกเลี่ยง และไม่จำเป็น
ทักษิณ อ้างเพียงว่า รัฐบาลต้องการทำงาน ทั้งที่ความจริง หน้าที่ของรัฐบาลก็คือ ทำงาน และยอมรับกระบวนการตรวจสอบ ที่ไม่ใช่เพียงแค่ การอภิปรายไม่ไว้วางใจที่กำหนดให้มีปีละครั้ง
ไม่แน่ว่าหาก ทักษิณ ยอมรับกระบวนการตรวจสอบของสภาเสียตั้งแต่ตอนนั้น ชะตากรรมในวันนี้อาจดีกว่าที่เป็นอยู่
สำหรับยิ่งลักษณ์แล้ว การปฏิเสธที่จะเผชิญหน้ากับฝ่ายค้านตั้งแต่การ "ดีเบต" ในช่วงที่หาเสียงเลือกตั้ง และหากยังเดินหน้าตามรอยของพี่ชาย ก็ไม่รู้ว่า ชะตากรรมในอนาคตจะเป็นเช่นใด
แต่ที่แน่ๆ นโยบายเร่งด่วน 16 ข้อ ที่ประกาศหาเสียงไว้จะต้องถูกฝ่ายค้านชำแหละชนิดที่เรียกว่า โดนซักฟอกตั้งแต่ยังไม่ได้ทำงานกันเลยทีเดียว
"ค่าแรงขั้นต่ำ 300 บาททั่วประเทศทำได้ทันที" แต่ล่าสุด หัวหน้าทีมเศรษฐกิจ ก็ออกมายอมรับแล้วว่า ทำได้เฉพาะลูกจ้างของภาครัฐ ซึ่งแน่นอนว่า เงินที่จ่ายไปเพิ่มให้แก่คนเหล่านั้นก็คือ เงินภาษี
"จบปริญญาตรีได้เดือนละ 15,000 บาท" ตรงนี้ก็ชัดเจนว่า จ่ายให้ได้เฉพาะภาครัฐ เพราะไม่มีตัวบทกฎหมายใดๆ ที่จะไปบังคับเอกชนให้รับ คนที่จบปริญญาตรีด้วยอัตราค่าจ้างสูงถึงขนาดนั้นได้
นโยบายจำนำข้าวที่ยืนยันว่าดีกว่าประกันราคาของฝ่ายค้าน ในวันนี้ด้วยสภาพที่น้ำท่วมหนักขนาดนี้ ชาวนาจะเอาข้าวที่ไหนมาจำนำ
นโยบายกระชากค่าครองชีพ โดยเฉพาะราคาน้ำมัน ที่ดูจะยังศึกษาไม่ถ่องแท้จนตกผลึก ทำให้นึกได้เพียงอย่างเดียวว่า ถ้าลดแล้วเงินหาย ก็ไปกู้เขามาเติม
นี่ยังไม่นับ นโยบายแจก แท็บเล็ต ว่าจะเอาจากไหน ใครจะจ่าย ใครจะผลิต หรือนโยบายลดภาษีรถคันแรกที่จะเอื้อให้แก่เอกชนที่ผลิตรถยนต์ หรือบ้านหลังแรกดอกเบี้ย 0% นาน 5 ปี ถึงแม้จะเป็นเรื่องที่ดี แต่นโยบายนี้ก็คงต้องตอบให้ได้ว่า เอื้อประโยชน์ให้แก่ใครหรือไม่
จะเห็นได้ว่า นโยบายที่ออกมาเหล่านี้ ล้วนแต่ใช้เงิน
สิ่งที่สำคัญที่ ยิ่งลักษณ์ ต้องให้ความเชื่อมั่นแก่รัฐสภา และแก่คนไทยทั้งประเทศก็คือ เมื่อใช้เงินแล้วจะหาเงินมาจากไหน นอกจากการกู้มาชดเชย
สำหรับนโยบายต่างประเทศ ดูเหมือนว่าจะเป็นอีกหนึ่งตัวเอกของเรื่องที่จะเกิดขึ้น และเกี่ยวพันไปถึง ทักษิณ ที่ยังอยู่ที่ญี่ปุ่น
ถึงแม้ว่า สุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล รมว.ต่างประเทศ จะไปแจ้งความเอาผิดพรรคประชาธิปัตย์เอาไว้ แต่ก็คงไม่อาจสกัดให้การซักถามในสภาลดดีกรีลงได้
ยิ่งลักษณ์ เองก็คงจะหลบหลีกระเบิดลูกนี้ได้เช่นกัน เพราะครั้งหนึ่งก็เคยหลุดปากออกมาแล้วว่า ทักษิณ จะไปกัมพูชาในนามส่วนตัว ซึ่งก็หมายความว่า ยิ่งลักษณ์ รับรู้ความเคลื่อนไหวของพี่ชายมาโดยตลอด
การแถลงนโยบายต่อรัฐสภาของรัฐบาลที่ผ่านมาส่วนใหญ่จะเน้นถึงการสอบถามความเป็นไปได้ของนโยบาย แต่สำหรับรัฐบาลยิ่งลักษณ์ แล้วคงจะไม่ใช่อย่างนั้น
ก็ในเมื่อเริ่มทำงานกันตั้งแต่ยังไม่แถลงนโยบาย คงจะไปฟูมฟายขอเวลาดื่มน้ำผึ้งพระจันทร์ หรือฝึกงานให้ "ผ่านโปร" กันก่อนคงจะไม่ได้แน่
เพราะเรื่องของบ้านของเมืองมันต้อง "ของจริง" แล้วก็ถ้าจะเผา ก็ต้อง "เผาจริง"