เปิดประโยชน์ที่ไทยจะได้รับจากการเป็นฐานผลิตวัคซีนโควิด-19

เมื่อช่วงเช้าวันนี้ 28 ก.พ.2564 ที่ รพ.บำราชนราดูร จ.นนทบุรี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานการฉีดวัคซีนโควิด-19 วันแรกของประเทศไทย โดยผู้ประเดิมฉีดวัคซีนเข็มแรกของไทยคือ นายอนุทิน ชาญวีระกุล รองนายกรัฐมนตรีและรมว.สาธารณสุข ตามที่ได้เสนอข่าวไปแล้วนั้น

อ่านข่าว ประมวลภาพฉีดวัคซีนโควิด-19 วันแรกของประเทศไทย "เสี่ยหนู" ประเดิมเข็มแรก

 

ขณะที่เพจ "The Daily Life" ได้โพสต์ไขคำตอบ "เราได้อะไร นอกจากได้วัคซีนโควิด-19" โดยระบุว่า ได้รับการถ่ายทอดเทคโนโลยี ได้สร้างความมั่นคงทางวัคซีนของชาติ ก้าวกระโดดเป็นผู้นำด้านวัคซีนของอาเซียน เร็วกว่าเป้าหมาย 19 ปี จะสามารถผลิตวัคซีนโรคอุบัติใหม่อื่นได้ เปลี่ยนสถานะจากประเทศผู้ซื้อเป็นผู้ผลิต และสร้างรายได้จากการจำหน่ายวัคซีน

ไม่ง่ายเลยที่ไทยจะได้เป็นฐานการผลิตวัคซีนโควิด-19 ในเอเชีย เทียบเท่ากับประเทศที่เจริญแล้วอย่าง อินเดีย จีน เกาหลีใต้ และญี่ปุ่น นอกจากวัคซีนที่เราจะได้แล้ว มีอะไรที่ประเทศชาติจะได้รับอีกบ้าง

รวบรวมประโยชน์ที่ประเทศไทยจะได้รับจากการเป็นฮับ (Hub) ผลิตวัคซีนโควิด-19 ให้แอสตราเซเนกา จากข้อมูลของกระทรวงสาธารณสุข และการพูดคุยกับ นพ.นคร เปรมศรี ผอ.สถาบันวัคซีนแห่งชาติ

นอกจากได้รับถ่ายทอดเทคโนโลยีการผลิตวัคซีนโควิด-19 ที่ทันสมัยเป็นอันดับต้นๆของโลกแล้ว ถ้าเราสามารถผลิตวัคซีนได้ในไทย ทำการวิจัยและพัฒนาได้ด้วยตัวเอง โดยเริ่มต้นแบบน้อยกว่าชาติอื่นได้ นั่นคือ "ความมั่นคงของชาติ" เพราะไม่มีใครรู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นในอนาคต

ลองดูประเทศผู้ผลิตยาใหญ่ๆในโลก เช่น จีน อเมริกา อังกฤษ ที่มีรากฐานมายาวนานเกี่ยวกับเทคโนโลยีชีวภาพในการผลิตยา พวกเขาจึงสามารถคิดค้นและผลิตวัคซีนชนิดใหม่ให้โลกได้

 

ต่อไปประเทศไทยจะสามารถผลิตวัคซีนที่ได้คุณภาพ รวดเร็ว ทันต่อโรคร้ายต่างๆ ที่มักเกิดโรคใหม่ขึ้นเฉลี่ยทุกๆ 10 ปี จากภาวะโลกร้อน

อีกประโยชน์ที่ได้รับ การผลิตวัคซีนของไทยได้พัฒนาแบบก้าวกระโดดจากความรู้ที่ได้รับ ล้ำหน้าประเทศเพื่อนบ้านในกลุ่มอาเซียนไปมากเลยทีเดียว จากเป้าหมายเดิมที่สถาบันวัคซีนตั้งใจจะเป็น "ผู้นำด้านวัคซีนระดับอาเซียน" ให้ได้ภายในปี 2574 จากแผนยุทธศาสตร์ 20 ปี ของสถาบันฯ ก็สามารถร่นระยะเวลาไปถึงเส้นชัยได้เร็วขึ้น เป็นภายในปีนี้ นับเป็นเรื่องน่าภาคภูมิใจของคนไทยทั้งชาติ

ประโยชน์สุดท้ายที่เริ่มเห็นชัด คือการที่ประเทศไทยมีนักวิทยาศาสตร์ที่มีความรู้ มีความเชี่ยวชาญการผลิตวัคซีนเป็นของตัวเอง ความชำนาญนี้จะยิ่งเพิ่มพูนขึ้นเรื่อยๆ กลายเป็นทรัพยากรที่สำคัญของประเทศ เราจะสามารถทำธุรกิจด้านวัคซีน และเปลี่ยนจากประเทศผู้ซื้อวัคซีนเป็นประเทศผู้ผลิตได้

ณ ขณะที่ วัคซีนโควิด-19 ยังเป็นของที่แย่งกันทั่วโลก หลายประเทศผู้ผลิตวัคซีนออกคำสั่งห้าม และชะลอการส่งวัคซีนออกนอกพื้นที่ เช่น รัฐบาลอินเดียสั่งสถาบันเซรุ่มแห่งอินเดีย ชะลอการส่งวัคซีน COVIDSHIELD ไปยังต่างประเทศ โดยให้ยึดความต้องการใช้วัคซีนโควิดในประเทศมาก่อนเป็นอันดับแรก หรือแม้แต่กรณี สหภาพยุโรป หรือ EU ที่ห้ามแอสตราเซเนกาส่งออกวัคซีนโควิดนอกเขต EU เมื่อไม่นานมานี้

ถ้าประเทศไทยไม่มีฐานการผลิตวัคซีนเป็นของตัวเอง ลองจินตนาการดูว่าอะไรจะเกิดขึ้นในอนาคต

 

#ช้อปลาซาด้าคลิก