"แก้วสรร" นำทีม ผู้เสียหายสหกรณ์คลองจั่นฯ ร้องอัยการสูงสุด สั่งฟ้อง "อนันต์" ฟอกเงิน
28 พ.ย.2562 - ที่ห้องประชุม 303 สำนักงานอัยการสูงสุด ถ.แจ้งวัฒนะ ชมรมคุ้มครองสิทธิสมาชิกเจ้าหนี้รายย่อยสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนคลองจั่น ซึ่งประกอบด้วยผู้เสียหายคดีฟอกเงินสหกรณ์คลองจั่นฯ นำโดยนายธรรมนูญ อัตโชติ ผู้รับมอบอำนาจแทนผู้เสียหาย กับนายแก้วสรร อติโพธิ ที่ปรึกษากฎหมายชมรมฯ เข้ายื่นหนังสือขอให้อัยการสูงสุด (อสส.) สั่งฟ้อง "นายอนันต์ อัศวโภคิน" นักธุรกิจอสังหาริมทรัพย์แลนด์แอนด์เฮ้าส์ ในคดีฟอกเงินสหกรณ์คลองจั่นฯ
โดยมีนายประยุทธ เพชรคุณ รองโฆษกสำนักงานอัยการสูงสุด เป็นผู้แทนอัยการสูงสุด รับเรื่องไว้ทั้งนี้ "นายแก้วสรร" ที่ปรึกษากฎหมายชมรมฯ กล่าวว่า คดีนี้พบการส่งเงิน 321 ล้านบาท เข้ามูลนิธิวัดพระธรรมกาย เป็นเงินจากบัญชีนายอนันต์ที่อ้างว่าขายที่ดินได้ 1 แปลง จึงแบ่งมาถวายทำบุญ แต่กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) สอบสวนพบว่าที่ดินแปลงนี้แท้จริงเป็นของโจร ที่นายศุภชัยใช้เงินที่ยักยอกจากสหกรณ์ 321 ล้านบาท มาซื้อบริษัทเอ็มโฮม เพื่อจะนำที่ดินของบริษัท 3 แปลงไปขายค้ากำไร แต่เพื่อซ่อนเร้นของโจรก็ต้องฟอกชื่อเอ็มโฮมไม่ให้ปรากฏ จึงทำสัญญาจอมปลอมให้เอ็มโฮมขายที่ดินให้นายอนันต์ก่อน โดยไม่มีการชำระเงินค่าที่ดินกันจริงๆ แล้วจากนั้นจึงใช้ชื่อนายอนันต์ขายที่จริงๆ อีกครั้งหนึ่ง จนได้เงินมา 421 ล้านบาท แล้วใช้ชื่อนายอนันต์แบ่งถวายให้วัด 301 ล้านบาทในที่สุด
นายแก้วสรร กล่าวต่อไปว่า ดีเอสไอสรุปสำนวนว่าเป็นการฟอกเงิน 3 ครั้ง กลายเป็นเงินถวายวัดทำบุญ แต่อัยการกลับสั่งไม่ฟ้อง โดยให้เหตุผลว่าหลักฐานการกระทำของนายอนันต์ไม่เพียงพอให้ฟังได้ว่าร่วมฟอกเงินกับนายศุภชัย ผู้เสียหายเห็นว่าแม้ความจริงอาจจะตกลงกันให้นายอนันต์ทำเพียงเซ็นใบมอบฉันทะซื้อขายที่ดินและใบฝากถอนเงินธนาคาร ก็ถือเป็นการสมคบแบ่งงานกันทำได้ ส่วนคดีแพ่งที่ยุติไป เพราะนายศุภชัยขายที่ดินเอ็มโฮมแปลงหนึ่ง แล้วนำเงินมาชำระคืนผู้เสียหายครบ 321 ล้านบาท ทำให้อัยการเห็นว่าผู้เสียหายหายได้เงินครบจากการขายที่ดินแล้ว ที่ดินที่เหลือจึงเป็นกรรมสิทธิ์โดยแท้ของเอ็มโฮม ไม่ใช่ของโจรอีกต่อไป
"ผู้เสียหายเห็นว่า เมื่อนายศุภชัยใช้เงินยักยอกซื้อกิจการบริษัททั้งหมดแล้ว ที่ดินทั้งหมดทั้ง 3 แปลง ของบริษัทต้องเป็นของโจรตลอดไป ฟอกแปลงใด เมื่อใดก็ผิดฟอกเงินเมื่อนั้น อัยการจะนำการชดใช้ทางแพ่งของพวกโจรมาทำให้ที่ดินแปลงใดหมดความเป็นของโจรไม่ได้ คดีฟอกเงินเป็นอาญาแผ่นดินยอมความกันไม่ได้ เพราะถือว่าเป็นการปราบปรามองค์การอาชญากรรมที่เป็นภัยต่อสังคม แม้ผู้เสียหายจะได้เงินจนยอมความทางแพ่งแล้วก็ตาม แต่กฎหมายก็จะไม่สนใจ ยังให้ลงโทษและริบเป็นของแผ่นดินอยู่ดี" นายแก้วสรร กล่าวแย้งอัยการปมชำระเงินคืนผู้เสียหาย
ทั้งนี้ นายแก้วสรร ยังเรียกร้องให้ "นายวงศ์สกุล กิตติพรหมวงศ์" อัยการสูงสุด ในฐานะอดีตอธิบดีอัยการสำนักงานคดีพิเศษ มอบอำนาจให้แก่รองอัยการสูงสุดในการสั่งสำนวนคดีนี้แทน โดยเขามองว่านายวงศ์สกุลในฐานะอดีตอธิบดีฯ อาจจะมีส่วนเกี่ยวข้องในการให้คำปรึกษาแนะนำแก่อัยการผู้รับผิดชอบสำนวนมาก่อน ถ้าขณะนั้นเห็นควรสั่งไม่ฟ้อง ปัจจุบันเป็นอัยการสูงสุดก็ต้องสั่งไม่ฟ้องอีก และตั้งข้อสงสัยประเด็นเหตุผลสั่งไม่ฟ้องที่ว่าคืนเงินไปแล้วที่ดินที่เหลือจึงไม่ใช่ของโจร มีในสำนวนดีเอสไอมาตั้งแต่แรก เมื่ออัยการรับสำนวนแล้วก็สั่งไม่ฟ้องได้เลย แต่กลับมีการสั่งสอบเพิ่มเติม ทำให้คลางแคลงใจว่าวางแผนดึงรอจังหวะกันหรือไม่
ด้าน "นายประยุทธ" รองโฆษกสำนักงานอัยการสูงสุด ชี้แจงว่า คดีนี้อัยการสำนักงานคดีพิเศษ 4 สั่งไม่ฟ้องตามพยานหลักฐานที่ปรากฏในสำนวน แต่กระบวนการสั่งสำนวนยังไม่จบ ขณะนี้เสนอไปยังอธิบดีดีเอสไอพิจารณา ยังไม่ถึงที่สุด จะถึงที่สุดเมื่ออธิบดีดีเอสไอเห็นพ้องด้วย แต่ถ้าดีเอสไอเห็นแย้ง จะส่งให้อัยการสูงสุดพิจารณาเป็นคนสุดท้าย ส่วนที่อัยการคณะทำงานสั่งไม่ฟ้องนั้น คณะทำงานรายงานว่าศาลแพ่งพิพากษาตามยอมให้คืนเงิน นายอนันต์ถือที่ดินหลังจากศาลแพ่งพิพากษาตามยอม จึงไม่มีจุดเชื่อมโยงนายอนันต์ ประเด็นที่ดีเอสไอเห็นไม่ตรงกับทางอัยการคณะทำงาน เป็นเรื่องดีเอสไอจะแย้งอยู่แล้ว
ส่วนประเด็นคนสั่งสำนวนนั้น "รองโฆษกอัยการ" ชี้แจงว่า คนสั่งสำนวนคดีนี้คือนายธนวรรษ ว่องไวทวีวงศ์ รองอธิบดีอัยการสำนักงานคดีพิเศษ ไม่ใช่นายวงศ์สกุล โดยหลักการทำงานอยู่บนสำนวน มีกฎหมายรองรับ มีหน่วยงานตรวจสอบ ออกแบบให้ถ่วงดุลตรวจสอบอยู่แล้ว อย่าเอาความรู้สึกมาประกอบ ทางดีเอสไอก็มีอิสระในการพิจารณา ตนไม่รู้ข้อเท็จจริงในสำนวน ทั้งหมดเป็นประเด็นที่ต้องรับฟัง ตนไม่สามารถสรุปได้
ข่าวที่เกี่ยวข้อง