ข่าว

กมธ. ป.ป.ช. เกาะติด "องค์การค้าฯ" งบพิมพ์แบบเรียน พันล้าน หวั่นซ้ำรอย "ทีโออาร์กีดกัน"

กมธ. ป.ป.ช. เกาะติด "องค์การค้าฯ" งบพิมพ์แบบเรียน พันล้าน หวั่นซ้ำรอย "ทีโออาร์กีดกัน"

10 พ.ย. 2568

กมธ. ป.ป.ช. จี้ รมว.ศธ. แจง 12 พ.ย. หลังไล่สอบโครงการย้อนหลัง เจอพิรุธอื้อ แถม "บัญชีกลาง" ฟันผิด กม.จัดซื้อฯ เพียบ ดักคอต้อง "E-Bidding" เท่านั้น

10 พ.ย. 2568 นายปรีติ เจริญศิลป์ สส.นนทบุรี พรรคประชาชน ในฐานะรองประธานคณะกรรมาธิการการป้องกันและปราบปรามการทุจริตประพฤติมิชอบ (กมธ.ป.ป.ช.) สภาผู้แทนราษฎร กล่าวถึงความคืบหน้าการติดตรวจสอบกระบวนการจัดซื้อจัดจ้างขององค์การค้าของสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมสวัสดิการและสวัสดิภาพครูและบุคลากรทางการศึกษา (องค์การค้าของ สกสค.) ในสังกัดกระทรวงศึกษาธิการว่า เมื่อวันที่ 7 พ.ย. ทางองค์การค้าฯ ได้ประกาศเผยแพร่แผนการจัดซี้อจัดจ้างประจำปีงบประมาณ 2569 ออกมาทั้งสิ้น 19 รายการ รวมวงเงิน 1,112 ล้านบาท ซึ่งมากกว่าร้อยละ 90 เป็นโครงการจัดจ้างผลิตหนังสือแบบเรียนปีการศึกษา 2569 ของกระทรวงศึกษาธิการ มูลค่า 1,010 ล้านบาท ตามที่คณะกรรมการส่งเสริมสวัสดิการและสวัสดิภาพครูและบุคลากรทางการศึกษา (บอร์ด สกสค.) ที่มี นางนฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รมว.ศึกษาธิการ เป็นประธานบอร์ดฯ ได้อนุมัติกรอบวงเงินไว้ 


ต้องยอมรับว่า โครงการจัดพิมพ์แบบเรียนที่องค์การค้าฯ รับผิดชอบดำเนินการมักมีกระแสวิพากษ์วิจารณ์ ทั้งเรื่องคุณภาพของหนังสือแบบเรียน รวมถึงความไม่ชอบมาพากลในขั้นตอนจัดซื้อจัดจ้างมาตลอด โดยเฉพาะช่วง 2-3 ปีการศึกษาที่ผ่านมา ที่มีข้อร้องเรียนมายัง กมธ.ฯ และได้ทำการติดตามตรวจสอบ โดยเชิญหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมาให้ข้อมูลต่อ กมธ.ฯ รวมถึงเชิญผู้แทนองค์การค้าฯ มาสอบถาม ซึ่งหลายกรณีน่าเชื่อว่าไม่ชอบมาพากลตามข้อร้องเรียน ตลอดจนคำวินิจฉัยชี้ขาดว่า โครงการฯ มีความไม่โปร่งใส และขัดต่อหลักการกฎหมาย
 

ทั้งนี้ในวันที่ 12 พ.ย. นายอภิชาติ ตีรสวัสดิชัย ประธาน กมธ.ฯ มีหนังสือเชิญ อาจารย์นฤมล เข้าร่วมการประชุม เพื่อให้ข้อมูลต่อ กมธ. ซึ่งมีวาระเกี่ยวกับกระบวนการจัดซื้อจัดจ้างขององค์การค้าฯ รวมอยู่ด้วย น่าจะเป็นโอกาสดีในการแลกเปลี่ยนแนวคิดและข้อเสนอต่อโครงการผลิตหนังสือแบบเรียนของกระทรวงศึกษาฯ ที่กำลังเริ่มดำเนินการ และในปีถัดๆไป เพื่อให้เกิดประโยชน์ต่อเด็กนักเรียน อนาคตของชาติ และลดข้อครหาต่อหน่วยงานมากที่สุด หวังเป็นอย่างยิ่งว่า อาจารย์นฤมล จะตอบรับคำเชิญของ กมธ.ฯ เพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูล ที่เชื่อว่าเป็นประโยชน์กับทุกฝ่าย


นายปรีติ กล่าวต่อว่า ตามที่ กรมบัญชีกลาง เคยให้ข้อมูลกับ กมธ.ไว้ เฉพาะปีการศึกษา 2567 และปีการศึกษา 2568 ได้วินิจฉัยว่า การกำหนดขอบเขตงาน (ทีโออาร์) ของโครงการฯ ทั้ง 2 ปีการศึกษา ขัดต่อมาตรา 8 แห่งพระราชบัญญัติการจัดซื้อจัดจ้างและบริหารพัสดุภาครัฐ พ.ศ. 2560 (พ.ร.บ.จัดซื้อจัดจ้างฯ) มีลักษณะกีดกันการแข่งขันอย่างเป็นธรรม เช่นเดียวกับอีกหลายโครงการจัดจ้างที่เกี่ยวเนื่องกับโครงการพิมพ์แบบเรียน ก็ถูกวินิจฉัยว่า  มีลักษณะกีดกันไม่ให้เอกชนรายใดรายหนึ่งเข้าร่วมการเสนอราคาอย่างเป็นธรรม 

 

นายปรีติ เจริญศิลป์

จากข้อมูลทั้งหมดที่ กมธ.ฯ ได้จาก กรมบัญชีกลาง พบว่า เกือบทั้งหมดของโครงการที่ถูกชี้ว่า ขัดต่อกฎหมายนั้น จะเริ่มต้นด้วยการเปิดประกวดราคาแบบ E-Bidding ตามปกติ แต่ต่อมาก็จะเกิดปัญหาจนเป็นเหตุต้องยกเลิกการประกาศเชิญชวน หรือ ยกเลิกผลการประกวดราคา จากนั้นเมื่อประกาศเชิญชวนครั้งใหม่ ก็จะเปลี่ยนเป็นวิธีการคัดเลือก ที่มีความรัดกุมในแง่การตรวจสอบน้อยกว่า 

โดยอ้างเรื่องเงื่อนเวลากระชั้นชิด เพราะระเบียบกำหนดว่า ต้องส่งหนังสือแบบเรียนของแต่ละปีการศึกษาต้องถึงมือนักเรียนและสถานศึกษาก่อนวันเปิดภาคเรียนที่ 1 ของปีการศึกษานั้นๆ หรือวันที่ 16 พ.ค.ของทุกปี 


อย่างไรก็ดีทาง กรมบัญชีกลาง ก็ทราบดีถึงปัญหาขององค์การค้าฯ ที่ผ่านมา จึงได้มีการเน้นย้ำให้ องค์การค้าฯ หลีกเลี่ยงการใช้วิธีการคัดเลือกในกระบวนการจัดซื้อจัดจ้าง และให้ใช้การประกวดราคาแบบ E-Bidding ที่มีความโปร่งใสมากกว่า รวมถึงการร่างขอบเขตงาน หรือทีโออาร์ ให้มีความเป็นธรรมด้วย

 

"หากผู้เกี่ยวข้องยึดประโยชน์ของประเทศชาติ และเด็กนักเรียนทั่วประเทศเป็นสำคัญ โดยทำทุกขั้นตอนอย่างตรงไปตรงมาตามระเบียบ พ.ร.บ.จัดซื้อจัดจ้างฯ ยึดแนวทางประกวดราคาแบบ E-Bidding ตามข้อแนะนำของ กรมบัญชีกลาง อย่างเคร่งครัด หลีกเลี่ยงการกระทำที่สุ่มเสี่ยงทำให้โครงการมีปัญหา เหมือนกรณีร่างทีโออาร์ที่มีปัญหา และถูกวินิจฉัยว่าขัดหลักการกฎหมาย แค่นี้โครงการจ้างผลิตหนังสือแบบเรียน ปี 2569 หรือโครงการอื่นใดในอนาคต ก็จะเป็นไปตามกรอบเวลา มีความชอบธรรม ทุกฝ่ายยอมรับ จนไม่เป็นเหตุให้ถูกร้องจนกระบวนการต้องชะงัก และกลายเป็นข้ออ้างในการเปลี่ยนวิธีจัดซื้อจัดจ้าง กลายเป็นคดีและเรื่องร้องเรียนเหมือนที่ผ่านๆ มาอีก" นายปรีติ กล่าว


ส่วน กรณีที่ บอร์ด สกสค. ที่มี รมว.ศึกษาธิการ เป็นประธาน มีมติเชิญสำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) และสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ร่วมสังเกตการณ์ และตรวจสอบ ทุกขั้นตอนของการจัดพิมพ์แบบเรียน เพื่อให้มั่นใจได้ว่า การดำเนินการทั้งหมดจะเป็นไปอย่างถูกต้องโปร่งใส นายปรีติ เชื่อว่า ไม่น่าจะได้ประโยชน์เท่าไรนัก และคงไม่พ้นเชิญไปโชว์ตัวถ่ายภาพประชาสัมพันธ์ว่า กราบโกงแล้วเท่านั้น เพราะที่ผ่านมาทุกปี องค์การค้าฯ ก็เชิญหน่วยงานภายนอก รวมถึงสถาบันการศึกษา มาลงนามบันทึกความเข้าใจ (ทีโออาร์) เพื่อให้เข้ามาร่วมสังเกตการณ์โครงการพิมพ์แบบเรียนทุกขั้นตอน จัดแถลงข่าวใหญ่โต แต่ก็เกิดปัญหาอย่างที่เห็น โดยที่คณะผู้สังเกตการณ์ไม่พบ 


ในขณะที่ กรมบัญชีกลาง วินิจฉัยชัดเจนว่า ทีโออาร์ของโครงการพิมพ์แบบเรียนปีที่ผ่านๆมา มีเนื้อหาขัดต่อ พ.ร.บ.จัดซื้อจัดจ้างฯ กรณีกีดกันการแข่งขันอย่างเป็นธรรม หรือยังมีกรณีที่องค์การค้าฯ ค้างจ่ายค่าลิขสิทธิ์แบบเรียนให้แก่ สำนักงานการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) มาเกือบ 10 ปี จนมีหนี้คงค้างกันมากกว่า 219 ล้านบาท ปรากฏว่า ทั้งฝ่าย สพฐ. ที่เป็นเจ้าหนี้ ไม่คิดจะติดตามทวงถาม ส่วนองค์การค้าฯ ที่เป็นลูกหนี้ก็ไม่ได้แจ้งขอผลัดผ่อนเป็นกิจลักษณะ คิดกันเองว่า องค์การค้าฯ มีหนี้สะสมอยู่ จึงยังไม่สะดวกชำระหนี้ มองผิวเผินก็อาจเห็นความถ้อยทีถ้อยอาศัยของหน่วยงานในสังกัดเดียวกัน

 

แต่ในฐานะหน่วยงานรัฐ ถือว่า เข้าข่ายปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ และละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ ทำให้รัฐเสียหายด้วย

 

นายปรีติ ระบุว่า เหตุที่เกิดขึ้นและทราบผลว่า มีการกระทำความผิดมาแล้วเป็นปีๆ แต่ยังไม่เห็นผู้มีอำนาจทั้งฝ่ายการเมืองและฝ่ายประจำ หรือหน่วยงานใดๆ ที่จะเริ่มดำเนินการในการแสวงหาข้อเท็จจริง ตลอดจนนำผู้กระทำความผิดมาลงโทษแต่อย่างไร ที่ชวน สตง. และ ป.ป.ช. มาร่วมสังเกตการณ์โครงการปี 2569 ก็คงคาดหวังได้ยาก แล้วเมื่อคนผิด ไม่โดนเช็คบิลเป็นตัวอย่าง ก็เลยเกิดเหตุช้ำซาก จนเดี๋ยวนี้เลิกถามกันแล้วว่า ประมูลปีนี้ องค์การค้าฯ จะมีกระบวนท่าพิสดารอีกหรือไม่ แต่ถามกันว่า ยังต้องมีองค์การค้าของ สกสค. หรือตัว สกสค.อยู่อีกหรือไม่ อย่างน้อยก็อาจจะไม่ให้มายุ่งเกี่ยวกับการพิมพ์ตำราเรียนที่ควรมีประสิทธิภาพมากกว่านี้

 

"โครงการระดับ 1 พันล้านบาท ที่ต้นทุนแบบเรียนต่อเล่มถูกกว่าราคาขายบนปกเกือบครึ่ง เป็นรูปแบบธุรกิจในฝัน ควรจะกอบโกยกำไรมโหฬาร นำมาดูแลบุคลากรตามพันธกิจ แต่ความเป็นจริง ตลาดแบบเรียนที่ตัวเองเคยผูกขาด ยอดขายตกลงทุกปี องค์กรอยู่ในภาวะขาดทุน แล้วยังไปก่อหนี้ไม่คิดชดใช้ด้วย จากที่ก่อตั้งขึ้นมาเพื่อดูแลผู้อื่น กลายมาเป็นภาระของรัฐบาล และกระทรวงศึกษาฯ แล้วยังมีแต่ข้อครหา เป็นขี้ปากชาวบ้าน ให้รัฐเสียหายอีก" นายปรีติ ระบุ