ทนาย เผย "ทักษิณ" ยื่นถวายฎีกา ขอพระราชทานอภัยโทษ ครั้งที่ 2 จริง | คมชัดลึก

29 ก.ย. 2568 เมื่อเวลา 10.00 น. ผู้สื่อข่าวรายงานบรรยากาศบริเวณด้านหน้าเรือนจำกลางคลองเปรม ถนนงามวงศ์วาน เขตจตุจักร กรุงเทพฯ ซึ่งวันนี้เป็นการเข้าเยี่ยมญัติของ นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เป็นครั้งที่ 5 นับตั้งแต่ถูกส่งตัวมาคุมขังในแดนพยาบาลของเรือนจำกลางคลองเปรม เมื่อวันที่ 9 ก.ย. ที่ผ่านมา

สำหรับวันนี้ มีเพียง น.ส.พินทองทา ชินวัตร คุณากรวงศ์ หรือ "เอม" บุตรสาวคนกลาง พร้อมด้วย นายณัฐพงศ์ คุณากรวงศ์ สามี เดินทางมาด้วยรถตู้เบนซ์ส่วนตัว โดยมีนายวิญญัติ ชาติมนตรี ทนายความประจำตัว มารอต้อนรับ ทั้งคู่ยกมือไหว้ขอบคุณมวลชนคนเสื้อแดงจากหลายจังหวัดที่เดินทางมาให้กำลังใจ พร้อมเสียงตะโกน "เรารักทักษิณ" ดังสนั่น

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า น.ส.พินทองทา ยิ้มรับคำถามสื่อมวลชนเกี่ยวกับกระแสข่าวการยื่นฎีกาขอพระราชทานอภัยโทษรอบใหม่ แต่ไม่ได้ให้คำตอบ ก่อนจะเข้าเยี่ยมบิดาภายในเรือนจำราว 30 นาที และปฏิเสธตอบคำถามอีกครั้งระหว่างเดินทางกลับ

ต่อมา นายวิญญัติ ชาติมนตรี ทนายความ ได้ออกมาให้สัมภาษณ์ ยืนยันว่า ขณะนี้ได้มีการยื่นฎีกาขอพระราชทานอภัยโทษเป็นรายบุคคลครั้งที่ 2 แล้ว โดยชี้ว่าเป็นสิทธิของผู้ต้องขังเด็ดขาดทุกคน กระบวนการครั้งนี้ใช้เวลานานกว่ารอบแรก ราว 14 วัน ขณะที่ครั้งก่อนใช้เพียง 6 วัน ย้ำว่า ทั้งหมดเป็นพระราชอำนาจ และพระเมตตาของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ไม่สามารถก้าวล่วงได้

ส่วนสุขภาพของนายทักษิณ ทนายวิญญัติ ระบุว่า ยังมีปัญหาเรื่องความดันและระบบหัวใจ ต้องเฝ้าระวังเป็นพิเศษ รวมถึงอาการปวดกระดูกต้นคอที่อาจกดทับเส้นประสาท แม้ยังไม่รุนแรงถึงขั้นเคลื่อนไหวไม่ได้ แต่ต้องดูแลอย่างใกล้ชิด อย่างไรก็ดี สุขภาพโดยรวมถือว่าดีขึ้น สีหน้าสดใส ปรับตัวเข้ากับสภาพเรือนจำได้มากขึ้น

ทนายความย้ำว่า การเยี่ยมญาติทางวิดีโอคอล เป็นสิทธิทั่วไปของผู้ต้องขัง แต่ครอบครัวชินวัตร ยังคงเลือกเดินทางมาเยี่ยมต่อหน้าเพื่อให้กำลังใจอย่างใกล้ชิด พร้อมฝากถึงมวลชนคนเสื้อแดงที่มารวมตัวด้านหน้าเรือนจำ ว่าควรแสดงออกอย่างสงบเรียบร้อย เพราะเป็นสถานที่เป็นราชการ

อย่างไรก็ตาม นายวิญญัติ ปฏิเสธให้ความเห็นในประเด็นการเมือง โดยเฉพาะคำถามว่า มีการรายงานผลเลือกตั้งซ่อม สส.ศรีสะเกษ เขต 5 ให้ นายทักษิณ รับทราบหรือไม่ รวมถึงกรณีที่สื่อสอบถามถึงความเป็นไปได้ ของการขออภัยโทษซ้ำ ซึ่งเจ้าตัวย้ำเพียงว่าเป็นสิทธิตามกฎหมายของผู้ต้องขังเด็ดขาดทุกคน

ขอบคุณข้อมูล : ฐานเศรษฐกิจ