
ส่อง 15 นโยบายรัฐบาลอนุทิน แก้ไขปัญหา วางรากฐาน คืนความสุขให้ประชาชน
"อนุทิน" แุถลงนโยบายรัฐบาล 15 ข้อ พร้อมลุยแก้ไขปัญหาปัญหาทุกมิติ วางรากฐานคืนความสขให้ประชาชน
29 ก.ย. 2568 การประชุมรัฐสภาเริ่มขึ้นเวลา 09.24 น. โดยมีนายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานสภาผู้แทนราษฎร เป็นประธานที่ประชุม
โดยสัดส่วนการอภิปราย
29 ก.ย. เริ่ม 09.00 น. ใช้เวลา 16 ชม. เลิกประมาณ 01.00 น. ของวันที่ 30 ก.ย.
30 ก.ย. เริ่ม 09.00 น.
ครม. และ สส.พรรคร่วมรัฐบาลได้เวลา 6 ชั่วโมง
- สมาชิกวุฒิสภา ได้เวลา 3 ชั่วโมง
- พรรคฝ่ายค้านได้เวลา 15 ชั่วโมง (พรรคร่วมวิปฝ่ายค้าน 9 และ เพื่อไทย 6)
- สัดส่วนของประธานในที่ประชุม 1 ชั่วโมง
- เวลาของคณะรัฐมนตรีและพรรคร่วมรัฐบาล จะไม่นับรวมกับเวลาที่นายกรัฐมนตรีได้แถลงนโยบาย
นายอนุทิน เป็นผู้แถลงนโยบายต่อรัฐสภา 15 ด้าน ระบุว่า ตามที่มีพระบรมราชโองการแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 7 ก.ย. 2568 และแต่งตั้งรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 19 ก.ย. 2568
บัดนี้ คณะรัฐมนตรี ได้กำหนดนโยบายการบริหารราชการแผ่นดินที่ยึดมั่นการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขโดยมีความสอดคล้องกับหมวด 5 หน้าที่ของรัฐ และหมวด 6 แนวนโยบายแห่งรัฐตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 ตลอดจนยุทธศาสตร์ชาติพุทธศักราช 2561 ถึง 2580 เรียบร้อยแล้ว หลักการบริหารราชการแผ่นดินและนโยบายสำคัญของรัฐบาลโดยรัฐบาลภายใต้การนำของกระผม จะยึดหลักการ 3 ประการได้แก่
1.พิทักษ์รักษาไว้ซึ่งสถาบันชาติศาสนาและพระมหากษัตริย์
2.ยึดมั่นการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข
3.ยึดมั่นในหลักนิติธรรมการบังคับใช้กฎหมายอย่างเป็นธรรมและการบริหารราชการแผ่นดินบนพื้นฐานของธรรมาภิบาล เพื่อประโยชน์ของพี่น้องประชาชน
รัฐบาลได้เข้าสู่การบริหารราชการแผ่นดินภายใต้สถานการณ์ที่ประเทศไทยกำลังเผชิญความไม่แน่นอนรอบด้านทั้งทางด้านเศรษฐกิจ สังคม การเมืองความสัมพันธ์ระหว่างประเทศและภูมิรัฐศาสตร์ของโลก ซึ่งปัจจัยทั้งหลายเหล่านี้ส่งผลกระทบต่อความสามารถในการแข่งขันของประเทศ โอกาสในการสร้างรายได้ของพี่น้องประชาชนและการดำเนินธุรกิจของผู้ประกอบการ ด้วยระยะเวลาที่มีอยู่อย่างจำกัดและงบประมาณที่รัฐบาลไม่ได้เป็นผู้จัดทำทั้งยังเป็นรัฐบาลเสียงข้างน้อย รัฐบาลจึงจำเป็นต้องเร่งดำเนินการแก้ไขปัญหาที่ประเทศกำลังเผชิญอยู่ขณะนี้ ได้แก่ ภัยด้านเศรษฐกิจ ภัยด้านความมั่นคง ภัยด้านสังคม ภัยด้านสิ่งแวดล้อม นอกจากนี้รัฐบาลนี้จะสนับสนุนการจัดทำประชามติและการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญโดยรับฟังเสียงของพี่น้องประชาชนและสร้างการมีส่วนร่วมจากทุกภาคส่วนเพื่อให้สอดคล้องกับคำวินิจฉัยของสาธารณูญและเพื่อธำรงไว้ซึ่งระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข
เปิด 15 นโยบายรัฐบาลอนุทิน
ด้านเศรษฐกิจ
1.รายได้-ลดรายจ่าย ให้กับพี่น้องประชาชนในการใช้ชีวิตประจำวัน อาทิ ค่าพลังงาน ค่าน้ำดื่มสะอาด ค่าโดยสาร ค่าผ่านทาง เพื่อให้มีกำลังในการจับจ่ายใช้สอยมากขึ้น โดยจัดทำโครงการ "คนละครึ่ง" การบริหารจัดการราคาสินค้าเกษตรให้อยู่ในระดับที่เหมาะสมควบคู่กับการสร้างโอกาสในการสร้างรายได้และความสามารถในการแข่งขันและความสามารถในการแข่งขันแก่ผู้ค้ารายย่อยผู้ประกอบการ รวมถึงเกษตรกรและชุมชนในท้องถิ่นให้มั่นคงแข็งแรง ผ่านกลไกความร่วมมือระหว่างภาคและเอกชน โดยมุ่งเน้นการส่งเสริมการใช้เทคโนโลยีดิจิทัลในการเรียนรู้ทักษะใหม่ และการเพิ่มทักษะใหม่ เพื่อเพิ่มผลิตภาพ สร้างโอกาสให้คนไทยมีรายได้มากขึ้น ส่งเสริมการใช้พลังงานแสงอาทิตย์ในการผลิตไฟฟ้าภาคครัวเรือนและกิจกรรมทางการเกษตรเพื่อเพิ่มรายได้ให้กับประชาชนและชุมชนและเพิ่มพลังงานสีเขียวทางความต้องการทุกภาคส่วน
2 แก้ปัญหาหนี้สินและเพิ่มสภาพคล่อง บนพื้นฐานความเสี่ยงที่เป็นธรรมระหว่างสถาบันการเงินและผู้กู้
2.1 หนี้ภาคประชาชนช่วยเหลือและแก้ไขปัญหาหนี้รายบุคคลในระบบรายละไม่เกิน 100,000 บาท เพื่อลดปัญหาหนี้ที่ทำให้คนไทยติดกับดักหนี้
2.2 เพิ่มสภาพคล่องให้แก่ผู้ประกอบการวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม SMEs รายละไม่เกิน 1 ล้านบาท ควบคู่กับการสร้างระบบการเข้าถึงแหล่งเงินทุนให้กับลูกหนี้ที่มีวินัยในการชำระหนี้โดยสม่ำเสมอ การให้ความรู้ทางการเงินนวัตกรรมและเทคโนโลยีสมัยใหม่แก่ประชาชนและผู้ประกอบการ รวมถึงสร้างโอกาสทางธุรกิจให้ผู้ประกอบการ SMEs ในการจัดซื้อจัดจ้างของภาครัฐและภาคธุรกิจขนาดใหญ่
3. เพิ่มโอกาสการออมของประชาชนรายย่อย ให้ประชาชนทุกคนมีสิทธิ์ซื้อพันธบัตรรัฐบาลโดยสะดวก เพื่อสร้างรายได้เพิ่มจากดอกเบี้ยที่เพิ่มขึ้นและพัฒนาผลิตภัณฑ์สลาก เพื่อการออมโดยกันเงินจำนวนหนึ่งที่ผู้ซื้อสลากไม่ถูกรางวัลให้มีเงินออม อันเกิดจากเงินที่กันไว้
4. ฟื้นความเชื่อมั่นให้แก่นักท่องเที่ยว โดยมุ่งเน้นการสร้างความปลอดภัยและการอำนวยความสะดวกแก่นักท่องเที่ยว การปราบปราม การฉ้อโกง การหลอกลวงนักท่องเที่ยวการจัดทำมาตรการกระตุ้นให้นักท่องเที่ยวหันกลับมาเที่ยวในประเทศไทยเพิ่มขึ้นในช่วงที่เหลือของปี 2568 โดยให้ความสำคัญเกี่ยวกับการเที่ยวเมืองรองการจูงใจให้ภาคเอกชน ปรับปรุงโรงแรมที่พัก และแหล่งท่องเที่ยวผ่านกลไกภาษีการดึงดูดชาวต่างชาติให้พำนักในประเทศไทยระยะยาวและเพิ่มการใช้จ่ายต่อหัวของนักท่องเที่ยวมากขึ้น
5. เร่งแก้ไขปัญหาผลกระทบจากสงครามการค้า
5.1 จัดตั้งทีม Thailand ประกอบด้วยกระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ ผู้แทนการค้าไทย เพื่อยกระดับการค้าเสรีกับคู่ค้าเดิมและดำเนินการเชิงรุก ในการเปิดตลาดใหม่เพิ่มขึ้น เช่น ตะวันออกกลาง แอฟริกา ยุโรปตะวันออก เอเชียใต้ ลาตินอเมริกา รวมทั้งผลักดันให้ประเทศไทยเข้าเป็นสมาชิกองค์กรเพื่อความร่วมมือและการพัฒนาทางเศรษฐกิจ แค่ดึงดูดการค้าและการลงทุนจากต่างประเทศ
5.2 ดูแลและสนับสนุนผู้ประกอบการโดยเฉพาะ SMEs และเกษตรกรที่ได้รับผลกระทบรุนแรงจากมาตรการภาษีของสหรัฐอเมริกา การสกัดปัญหาการสวมสิทธิ์ ถิ่นกำเนิดสินค้าและการป้องกันการทุ่มตลาด ร่วมมือกับภาคเอกชนในการเจรจารายละเอียดรายสินค้าที่เกิดขึ้นจากมาตรการภาษีของสหรัฐอเมริกา เพื่อเตรียมรองรับมาตรฐาน อาทิ การจัดทำมาตรการในการส่งเสริมการใช้สินค้าอุตสาหกรรมและชิ้นส่วนที่ผลิตภายในประเทศเป็นหลัก การกำหนดมาตรฐานอุตสาหกรรมของสินค้ากลุ่มเป้าหมาย พร้อมทั้งกำหนดมาตรการมิให้นำเข้าสินค้าเกษตรที่มีการเผาจากประเทศเพื่อนบ้าน เพื่อลดปัญหาฝุ่นละออง PM 2.5
5.3 สร้างสภาพแวดล้อมการลงทุนที่ทันสมัยและเอื้อต่อการแข่งขันในปัจจุบันและอนาคตโดยปรับปรุงกฎระเบียบและขั้นตอนการอนุญาตให้สะดวกโปร่งใสและเป็นมิตรต่อผู้ประกอบการ การปรับระบบส่งเสริม การลงทุนจากต่างประเทศในอุตสาหกรรมเป้าหมาย โดยเฉพาะอุตสาหกรรมดิจิทัล ปัญญาประดิษฐ์ อิเล็กทรอนิกส์ขั้นสูง ยานยนต์สมัยใหม่ อาหารแห่งอนาคต พลังงานสะอาดและอุตสาหกรรมชีวภาพ รวมทั้งส่งเสริมให้นักลงทุนจากต่างประเทศจัดตั้งบริษัทร่วมทุนกับบริษัทของไทยและสร้างห่วงโซ่การผลิตให้กับผู้ประกอบการไทย เพื่อให้เกิดประโยชน์ต่อการยกระดับศักยภาพของผู้ประกอบการในประเทศ
ด้านความมั่นคง
6. เร่งแก้ไขปัญหากรณีพิพาทระหว่างไทยและกัมพูชาด้วยแนวทางสันติภาพ เพื่อนำพาความมั่นคงปลอดภัยให้แก่พี่น้องประชาชนตามบริเวณชายแดนโดยเร็วและรักษาไว้ซึ่งอธิปไตยและเขตแดนที่เป็นของไทยโดยชอบธรรมที่เป็นเขตแดนสากล รวมถึงดำเนินการยุติความขัดแย้งผ่านกลไกการเจรจาทางการทูตที่เหมาะสมควบคู่กับการป้องกันประเทศที่เข้มแข็ง ตลอดจนทำประชามติเพื่อให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการพิจารณาตัดสินใจให้ความเห็นต่อการยกเลิกบันทึกความเข้าใจหรือ MOU ระหว่างไทยกัมพูชา นอกจากนี้รัฐบาลจะดำเนินนโยบายต่างประเทศในเชิงรุกที่ทันต่อการเปลี่ยนแปลงของโลก รวมทั้งเสริมสร้างความมั่นใจและสถานะ ของไทยในเวทีโลกและเวทีระหว่างประเทศ
7. เร่งแก้ไขปัญหาในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ โดยรัฐบาลจะเร่งรัดปรับแนวทางการดำเนินงานเพื่อให้เกิดผลอย่างเป็นรูปธรรม ในด้านการสร้างสภาพแวดล้อมที่ปลอดภัยต่อชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน คู่ขนานไปกับการพัฒนาด้านเศรษฐกิจและการยกระดับคุณภาพชีวิตของพี่น้องประชาชนในพื้นที่อย่างยั่งยืน
8. ด้านสังคมปราบปรามการพนันผิดกฎหมายทุกรูปแบบอย่างจริงจัง ไม่สนับสนุนให้มีการประกอบธุรกิจการพนัน ทุกชนิดให้เป็นธุรกิจที่เป็นถูกกฎหมาย ไม่สนับสนุน Entertainment Complex ที่มีธุรกิจการพนัน รวมถึงการพนันที่แฝงมาในรูปของกีฬา เช่น โบรกเกอร์ และจะดำเนินการแก้ไขพระราชบัญญัติการพนันและกฎกระทรวงที่เกี่ยวข้อง เพื่อควบคุมและลดการอนุญาตการเล่นการพนันให้ได้มากที่สุด
9. รักษาหลักนิติธรรมอย่างเคร่งครัด โดยให้ถือว่าการกระทำของเจ้าพนักงานของรัฐในกรณีเหล่านี้ เป็นการกระทำความผิดทางวินัยอย่างร้ายแรงและต้องดำเนินการอย่างเด็ดขาด
9.1 การละเว้นการบังคับใช้กฎหมายในการดำเนินการป้องกันและปราบปรามยาเสพติดบนการพนัน การพนันออนไลน์ อาชญากรรมข้ามชาติ ไซเบอร์ การสร้างข่าวปลอม การหลอกลวงประชาชนในรูปแบบต่างๆ
9.2 การใช้กฎหมายและเจ้าหน้าที่ของรัฐเพื่อประโยชน์ทางการเมือง
10. ขจัดทุจริตและประพฤติมิชอบอย่างเด็ดขาดและจริงจัง โดยร่วมมือกับสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ และสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐภาคเอกชนและภาคประชาสังคม เพื่อยกระดับความเชื่อมั่นของประชาชนและนานาประเทศ
11. พิทักษ์และคุ้มครองพระพุทธศาสนาและศาสนาอื่น โดยดำเนินมาตรการป้องกันและขจัด บ่อนทำลายพระพุทธศาสนาและศาสนาอื่น โดยในส่วนของพระพุทธศาสนา รัฐบาลจะดำเนินการโดยพระสังฆราชานุมัติด้วยความเห็นชอบของมหาเถรสมาคม
ด้านภัยธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
12. ติดตั้งเครื่องมือเตือนภัยและพัฒนาเครือข่าย เป็นภัยพิบัติโดยเฉพาะในพื้นที่ที่มีความเสี่ยงสูง เยียวยา ฟื้นฟู ให้ประชาชน ผู้ประสบภัยโดยเร่งด่วน โดยเน้นการนำข้อมูลของส่วนราชการส่งต่อให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องไปปฏิบัติในพื้นที่อย่างจริงจัง การอนุรักษ์ฟื้นฟูและรักษาทรัพยากรธรรมชาติที่มีอยู่อย่างยั่งยืน การส่งเสริมการใช้พื้นที่ป่าและป่าชุมชนอย่างถูกต้อง รวมถึงการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำอย่างเป็นระบบเพื่อสร้างภูมิคุ้มกันต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
13. ผลักดันสังคมคาร์บอนต่ำ โดยประกาศให้ไทยบรรลุเป้าหมาย การปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิให้เป็นศูนย์ภายในปีพุทธศักราช 2593 หรือ ในคริสต์ศักราช 2050 เพื่อรับมือกับการค้าระหว่างประเทศและการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศโดย
13.1 ส่งเสริมและสนับสนุนการใช้พลังงานสะอาดอาทิ พลังงานแสงอาทิตย์ในชุมชนและหน่วยงานของรัฐการ ใช้ยานยนต์ไฟฟ้า ระบบขนส่งสาธารณะรวมถึงเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงาน โดยเฉพาะในภาคอุตสาหกรรม
13.2 พัฒนายกระดับวิถีเกษตรกรไปสู่เกษตรกรรุ่นใหม่ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม โดยเน้นการป้องกันและลดการเผาในภาคเกษตร เพื่อลดปัญหาฝุ่นละออง PM 2.5
13.3 จัดตั้งตลาดซื้อขายคาร์บอนเครดิตที่ได้มาตรฐานสากลและผลักดันกฎหมายด้านสิ่งแวดล้อม ที่สำคัญให้มีผลบังคับใช้โดยเร็ว อาทิ เรื่องพระราชบัญญัติการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศพ.ศ
14. ด้านการบริหารภาครัฐการปฏิรูปกฎหมาย เร่งพัฒนา รัฐบาลดิจิทัล ที่เชื่อมโยงทั้งระบบควบคู่กับการผลักดันการเปิดเผยข้อมูลของภาครัฐและเสนอร่างกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการยกระดับภาครัฐให้ทันสมัยและมีประสิทธิภาพและอำนวยความสะดวกให้ภาคธุรกิจและประชาชนมีการบูรณาการทำงานร่วมกันอย่างแท้จริงระหว่างหน่วยงานของรัฐภาคเอกชนและภาคประชาสังคม รวมถึงสามารถรองรับการบริหาร ราชการแบบจำลองเสมือนจริง หรือ sandbox และการบริหารจัดการภาวะวิกฤตอย่างเป็นระบบ
15. เร่งรัดการปฏิรูปกฎหมาย กฎระเบียบ โดยยกเลิกกฎหมายกฎระเบียบที่เป็นอุปสรรคและสร้างภาระที่ไม่จำเป็นแก่ประชาชนและภาคธุรกิจ การริเริ่ม กดเสนอกฎหมายที่เกี่ยวกับเศรษฐกิจแพลตฟอร์มดิจิตอล และผลักดันการปรับปรุงกฎหมายว่าด้วยธุรกรรมอิเล็กทรอนิกส์ให้สอดคล้องกับเทคโนโลยีดิจิทัลที่เปลี่ยนไปและจัดตั้งคณะทำงานติดตามผลดำเนินการตามนโยบายของรัฐบาล
นอกจากนโยบายสำคัญเพื่อจัดการปัญหาเฉพาะหน้าข้างต้น รัฐบาลจะดำเนินการให้สอดคล้องกับหน้าที่ของรัฐแนวนโยบายแห่งรัฐและยุทธศาสตร์ชาติตามที่กำหนดไว้ในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยพุทธศักราช 2560 มาตรา 162 โดยผลักดันการพัฒนาตามแนวนโยบายแห่งรัฐและยุทธศาสตร์แห่งชาติทั้ง 6 ด้านในช่วงเวลาของการบริหารราชการแผ่นดินอย่างต่อเนื่อง
อาทิ การดำเนินการให้คนไทยทุกช่วงวัยทุกกลุ่มเข้าถึงสิทธิการศึกษา ระบบสาธารณสุขอย่างทั่วถึงเท่าเทียม การปฏิรูประบบการศึกษา เพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลงของนวัตกรรมการเรียนรู้ ซึ่งจะทำให้คนไทยมีความรู้และทักษะที่จำเป็นต่อการใช้ชีวิตและสอดคล้องกับสังคมในอนาคต รวมทั้งใช้สื่อและสื่อสารมวลชนในการปลูกฝังค่านิยมและวัฒนธรรมที่ดี การพัฒนาบริการสาธารณสุขที่มีคุณภาพควบคู่กับการส่งเสริมภูมิปัญญาท้องถิ่นและการแพทย์แผนไทยการส่งเสริมและพัฒนาการสร้างเสริมสุขภาพ เพื่อให้คนไทยมีสุขภาพทางกายและจิตใจที่ดีการวางหลักฐานการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจของประเทศไปสู่ยุคใหม่ จากเดิมที่เน้นปริมาณไปสู่การสร้างมูลค่าโดยยกระดับภาคเกษตรกรรมของไทยไปสู่เกษตรอัจฉริยะเพื่อเพิ่มผลิตภาพลดความเสี่ยงภัยธรรมชาติ
สร้างความเชื่อมั่นในความปลอดภัยของอาหาร การวางรากฐาน เพื่อให้เอกชนโดยเฉพาะ SME ก้าวทันโลกควบคู่กับการยกระดับโครงสร้าง ศูนย์อุตสาหกรรมเป้าหมายอาทิการสนับสนุนให้ผู้ประกอบการเข้าถึงเทคโนโลยีที่เหมาะสมในราคาที่จับต้องได้
การยกระดับผลิตภาพ การผลิตเพื่อลดต้นทุนเพิ่มคุณภาพและต่อยอดนวัตกรรมการผลักดันกฎหมายสำคัญ เพื่อรองรับอุตสาหกรรมยุคใหม่การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและระบบสาธารณูปโภคให้รองรับการพัฒนาประเทศควบคู่กับการส่งเสริมให้ประชาชนทุกภาคส่วน มีส่วนร่วมในโครงการขนาดใหญ่ การกำกับให้มีการจัดสรรและการใช้ประโยชน์ของคลื่นความถี่สิทธิในการเข้าใช้วงโคจรดาวเทียม ให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อประชาชนและประเทศโดยรวมการ สืบสานต่อยอด โครงการพระราชดำริและโครงการตามแนวพระราชดำริ เพื่อความยั่งยืนในการอนุรักษ์และใช้ประโยชน์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม การสนับสนุนให้มีการเปิดเผยข้อมูลและสร้างการมีส่วนร่วมในการควบคุมและแก้ไขปัญหา การกำหนดผังเมืองและบังคับใช้กฎหมายเพื่อให้การพัฒนาพื้นที่เป็นไปอย่างเหมาะสมรวมถึงการบริหารจัดการที่ดินเพื่อให้ประชาชนสามารถมีที่ทำกินได้อย่างทั่วถึงและเป็นธรรม ตลอดจนการพัฒนาระบบรายได้และบริหารสินทรัพย์ของภาครัฐให้เข้มแข็ง
รัฐบาลมีความมุ่งมั่นที่จะบริหารราชการแผ่นดินและขับเคลื่อนนโยบายเพื่อแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าควบคู่กับการริเริ่มวางรากฐานประเทศ เพื่อนำพาประเทศไทยให้ก้าวไปข้างหน้าอย่างเต็มกำลังความสามารถในช่วงเวลาของรัฐบาล ด้วยความซื่อสัตย์สุจริตและมีคุณธรรม โดยยึดประโยชน์ของประเทศเป็นที่ตั้ง สร้างความเชื่อมั่นในการดำเนินนโยบายการคลังให้น่าเชื่อถือมีวินัยโปร่งใสมีประสิทธิภาพคุ้มค่าและเกิดประโยชน์สูงสุดต่อประเทศ โดยรวมภายใต้กรอบวินัยการเงินการคลังและการเสริมสร้างเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ
โดยการดำเนินนโยบายจะใช้จ่ายจากแหล่งงบประมาณและเงินนอกงบประมาณ อาทิ เงินกู้ การให้เอกชนเข้าร่วมลงทุนการระดมทุนผ่านกองทุนเพื่อการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน โดยเน้นการบริหารงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2569 เป็นหลัก และค่าใช้จ่ายงบประมาณให้เป็นไปตามกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัดด้วยความรอบคอบ กำกับการใช้จ่ายเงินนอกงบประมาณให้มีประสิทธิภาพและส่งเสริมบทบาทภาคเอกชนในการลงทุนพัฒนาโครงสร้าง ของประเทศเพื่อส่งเสริมการลงทุนและลดภาระหนี้สาธารณะของประเทศในระยะยาว
กระผมในฐานะนายกรัฐมนตรีจะดำเนินการทุกวิถีทางในการบริหารราชการแผ่นดินของรัฐบาลให้สามารถแก้ไขปัญหาของประเทศพร้อมกับการวางรากฐานในการพัฒนาประเทศอย่างยั่งยืนในทุกมิติเพื่อความอยู่ดีมีสุขของพี่น้องประชาชนชาวไทย