ข่าว

"ทักษิณ" อยู่ในเรือนจำ ใช้เงินได้เท่าไหร่? เปิดระเบียบการใช้ชีวิต

"ทักษิณ" อยู่ในเรือนจำ ใช้เงินได้เท่าไหร่? เปิดระเบียบการใช้ชีวิต

11 ก.ย. 2568

ติดตามกันอย่างต่อเนื่อง สำหรับการใช้ชีวิตในเรือนจำของ "ทักษิณ ชินวัตร" อดีตนายกรัฐมนตรี หลังถูกศาลฎีกาตัดสินจำคุก 1 ปี คดีชั้น 14 โรงพยาบาลตำรวจ เมื่อวันที่ 9 ก.ย. 2568

 

โดยขั้นตอนการคุมขัง เพื่อเข้าสู่กระบวนการรับโทษตามคำพิพากษา และเข้าสู่ขั้นตอนการจำแนกแยกลักษณะผู้ต้องขัง ซึ่งนายทักษิณ ชินวัตร ถือเป็นผู้ต้องขังสูงอายุ เนื่องด้วยอายุ 76 ปี

 

 

มาตรฐานการปฏิบัติของข้อมูลกรมราชทัณฑ์ ด้านการควบคุมผู้ต้องขัง ในส่วนการปฏิบัติ-การจัดสวัสดิการต่อผู้ต้องขังสูงอายุ ซึ่งบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 พ.ย. 2564 การจำแนกการดูแลผู้ต้องขังสูงอายุที่อยู่ในการควบคุมของกรมราชทัณฑ์ผู้ต้องขังที่มีอายุ 60 ปีบริบูรณ์ขึ้นไป โดยขั้นตอนรับตัวกลุ่มผู้ต้องขังสูงอายุ ราชทัณฑ์จะดำเนินการเช่นเดียวกับผู้ต้องขังทั่วไป 

 

\"ทักษิณ\" อยู่ในเรือนจำ ใช้เงินได้เท่าไหร่? เปิดระเบียบการใช้ชีวิต

 

เริ่มจากจัดทำประวัติ รายละเอียดเกี่ยวกับคดี กำหนดโทษ ประวัติการต้องโทษ ประวัติการรักษาพยาบาล ภูมิลำเนา จำนวนบุตร ตลอดจนความสัมพันธ์ในครอบครัวญาติที่สามารถติดต่อได้ โดยเก็บไว้ในระบบข้อมูลผู้ต้องขัง เพื่อนำไปประกอบการวางแผนปฏิบัติอย่างถูกต้องเหมาะสม

 

 

ตามกระบวนการ การตรวจร่างกายผู้ต้องขังเข้าใหม่และผู้ต้องขังเข้า-ออกเรือนจำ พ.ศ. 2561 ระบุว่า เมื่อเรือนจำได้รับตัวผู้ต้องขังเข้าใหม่แล้วให้เจ้าพนักงานเรือนจำที่รับตัวให้ตรวจสอบความถูกต้องว่าเป็นบุคคลตามชื่อที่ปรากฏในหมายอาญา หรือเอกสารอันเป็นคำสั่งของเจ้าพนักงานผู้มีอำนาจตามกฎหมายหรือไม่ 

 

 

ประกอบด้วย การตรวจสอบชื่อนามสกุลและเลขประจำตัวประชาชนของผู้ต้องขังตามที่ปรากฏในบัตรประจำตัวประชาชน และพิมพ์ลายพิมพ์นิ้วมือผู้ต้องขัง และเทียบความถูกต้องกับลายพิมพ์นิ้วมือที่ส่งมา จากนั้นเมื่อเจ้าพนักงานเรือนจำได้ตรวจสอบจนแน่ใจแล้วว่าผู้ต้องขังที่รับตัวมาเป็นบุคคลเดียวกับบุคคลตามหมายอาญา หรือเอกสารคำสั่งของเจ้าพนักงานผู้มีอำนาจ ให้ดำเนินการ "จัดทำทะเบียนประวัติผู้ต้องขังเข้าใหม่" ในวันที่รับตัว โดยมีรายละเอียดอย่างน้อยดังนี้...

 

  • ชื่อ-นามสกุล ผู้ต้องขัง
  • เลขประจำตัวประชาชน หรือเอกสารแสดงตนของผู้ต้องขังเท่าที่ทราบ
  • ข้อหาหรือฐานความผิดที่ผู้นั้นได้กระทำ
  • พิมพ์ลายนิ้วมือหรือสิ่งแสดงลักษณะเฉพาะของบุคคล และตำหนิรูปพรรณ
  • สภาพร่างกายและจิตใจ ความรู้ ความสามารถ

 

 

เมื่อจัดทำทะเบียนประวัติผู้ต้องขังเข้าใหม่เสร็จสิ้นแล้วจะเข้าสู่ขั้นตอน "การตรวจค้นตัวและสัมภาระ" ซึ่งสิ่งของที่ผู้ต้องขังติดตัวมา ทางราชทัณฑ์จะแยกเป็นสิ่งของต้องห้าม สิ่งของอนุญาต สิ่งของไม่อนุญาต และเงินสด แล้วให้ดำเนินการ ดังนี้

 

 

  • กรณีสิ่งของต้องห้าม ถ้าไม่ใช่ของที่มีไว้นอกเรือนจำแล้วเป็นความผิดอาญา ให้จัดการแบบเดียวกับสิ่งของไม่อนุญาต แต่ถ้าเป็นของที่มีไว้นอกเรือนจำแล้วเป็นความผิดตามกฎหมายให้ยึดไว้เป็นของกลางแล้วแจ้งความดำเนินคดีต่อพนักงานสอบสวนในวันรุ่งขึ้น

 

  • กรณีสิ่งของที่อนุญาต ให้ผู้ต้องขังเก็บไว้บนล็อกเกอร์ส่วนตัวเท่านั้น ห้ามนำขึ้นไปเก็บไว้บนเรือนนอน

 

  • กรณีสิ่งของที่ไม่อนุญาต ให้แยกเก็บไว้แล้วดำเนินการคืนญาติ, จำหน่าย หรือทำลาย ตามที่กำหนดไว้ในกฎหรือระเบียบที่เกี่ยวข้อง

 

 

  • ฝากเงินใช้ซื้อของในคุกได้ไม่เกิน 15,000 บาท กรณีเงินสด ให้รับฝากไว้ตามระเบียบที่เกี่ยวข้อง ในกรณีที่เรือนจำไม่ได้ใช้ระบบรับฝากเงินอิเล็กทรอนิกส์แล้วเงินสดมีเกินจำนวนที่กำหนดไว้ในระเบียบ ให้รับฝากไว้ก่อนแล้วติดต่อคืนจำนวนที่เกินกำหนดให้กับบุคคลที่ผู้ต้องขังแจ้งไว้ ถ้าไม่สามารถหาผู้ที่จะคืนเงินจำนวนที่เกินดังกล่าวได้เลย ให้อนุโลมรับฝากไว้แต่ไม่ให้รับฝากเพิ่มจากบุคคลภายนอกอีก

 

\"ทักษิณ\" อยู่ในเรือนจำ ใช้เงินได้เท่าไหร่? เปิดระเบียบการใช้ชีวิต

 

อย่างไรก็ตาม เสื้อผ้า สิ่งของมีค่า เครื่องประดับ นาฬิกา สร้อยแหวน พระเครื่อง ปกติแล้วไม่ว่าผู้ต้องขังจะนำสัมภาระใดเข้ามา เจ้าหน้าที่เรือนจำก็จะไม่อนุญาตให้นำผ่านเข้าไปภายในเรือนจำ

 

ส่วนเสื้อผ้าเจ้าหน้าที่จะเก็บไว้เพื่อให้ญาติติดต่อขอรับกลับไป หรือผู้ต้องขังประสงค์ให้เจ้าหน้าที่เก็บไว้ให้ก่อนได้ (ในกรณีที่ผู้ต้องขังแจ้งว่าได้มีการยื่นขอประกันตัวต่อศาล อยู่ระหว่างรอฟังคำสั่งของศาล) แต่ระยะเวลาต้องไม่เกิน 15 วัน

 

ขณะที่สิ่งของมีค่า เจ้าหน้าที่จะรับฝากไว้ให้เช่นกัน และจะมีการจดบันทึกรายการว่ามีสิ่งของอะไรบ้าง ผู้ต้องขังฝากไว้เมื่อวันที่เท่าไร เมื่อพ้นโทษก็ติดต่อขอรับกลับ หรือจะให้ญาติติดต่อขอรับแทนก็ได้

 

 

เมื่อเสร็จสิ้นขั้นตอนการตรวจค้นตัวและสัมภาระ ถัดไปจะเข้าสู่ขั้นตอน "การคัดกรองโรค" โดยเจ้าหน้าที่พยาบาล หรือผู้ที่ผ่านการอบรมด้านงานพยาบาลของเรือนจำดำเนินการตรวจสุขภาพเบื้องต้นแก่ผู้ต้องขัง และหากผู้ต้องขังมีโรคประจำตัว ยารักษาโรค (เพื่อเจ้าหน้าที่เก็บยาไว้ให้และจะสอบถามถึงการกินยาว่าแพทย์สั่งให้กินยาอย่างไร) 

 

 

หรือหากมีใบรับรองแพทย์ก็ให้ยื่นแสดงกับเจ้าหน้าที่ อีกทั้งจะมีการบันทึกรายงานเกี่ยวกับบาดแผลหรืออาการเจ็บป่วยของผู้ต้องขังก่อนเข้าเรือนจำฯ ซึ่งเป็นเรื่องสำคัญ เพื่อใช้ยืนยันว่าผู้ต้องขังได้มีลักษณะบาดแผลหรืออาการเจ็บป่วยมาก่อนที่จะเข้าไปในเรือนจำไม่ได้เกิดจากการถูกทำร้ายหลังก้าวเข้าเรือนจำแต่อย่างใด และผู้ต้องขังจะต้องเซ็นชื่อกำกับการบันทึกดังกล่าวด้วยตัวเอง เพื่อตรวจสอบว่าข้อความดังกล่าวเป็นข้อเท็จจริงหรือไม่

 

 

ส่วนกระบวนการตรวจคัดกรองโรคโควิด-19 ก่อนจำแนกแยกแดนนั้น เจ้าหน้าที่จะให้มีการกักโรคระยะเวลา 5 วัน ที่ห้องกักโรค แดนแรกรับ เพื่อป้องกันไม่ให้เชื้อโรคแพร่กระจาย ดังนั้น เมื่อครบกำหนดกักโรคโควิดแล้วไม่พบว่ามีเชื้อโควิด ก็จะเข้าสู่ขั้นตอนการประชุมของคณะจำแนกแยกแดนผู้ต้องขังเด็ดขาด เพื่อพิจารณาว่าจะให้ไปคุมขังยังแดนใด

 

โดยมีข้อระมัดระวังว่าการจำแนกผู้ต้องขังไปคุมขังยังแดนใดจะต้องไม่เป็นการคุมขังร่วมกับคู่กรณีหรือคู่ความที่เคยมีปัญหากันมาก่อน เพื่อป้องกันเหตุการณ์ทะเลาะวิวาท กลั่นแกล้ง หรือการทำร้ายร่างกายกัน ซึ่งถือเป็นการระมัดระวังความปลอดภัยในการดูแลผู้ต้องขังระหว่างที่อยู่ในเรือนจำ 

 

 

ส่วนถ้าหากระหว่างการกักโรค พบว่าผู้ต้องขังมีปัญหาเรื่องสุขภาพร่างกายที่เป็นข้อกังวล หรือโรคประจำตัวกำเริบ จำเป็นต้องใช้เครื่องมืออุปกรณ์ทางการแพทย์ เจ้าหน้าที่เรือนจำและแพทย์ประจำเรือนจำ จะมีการพิจารณาเพื่อส่งตัวผู้ต้องขังออกไปรับการรักษาที่ทัณฑสถานโรงพยาบาลราชทัณฑ์ ซึ่งจะมีห้องกักโรคโควิดอยู่แล้วเช่นเดียวกัน แต่หากอาการเจ็บป่วยได้รับการรักษาทุเลาดีขึ้น ก็จะต้องนำตัวผู้ต้องขังกลับมาคุมขังยังเรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานครดังเดิม

 

 

เมื่อดำเนินการตรวจค้นตัว คัดกรองโรค และจัดการทรัพย์สินที่ติดตัวของผู้ต้องขังเสร็จแล้ว ให้เจ้าพนักงานเรือนจำแจ้งให้ผู้ต้องขังทราบข้อบังคับของเรือนจำ, ระเบียบเกี่ยวกับการปฏิบัติตัวของผู้ต้องขัง สิทธิ หน้าที่และประโยชน์ของผู้ต้องขัง รวมทั้งเรื่องอื่นที่จำเป็น เมื่อเจ้าพนักงานเรือนจำได้ดำเนินการในเรื่องต่างๆ ที่กำหนดไว้ข้างต้นครบถ้วนแล้ว เจ้าหน้าที่จะดูด้วยว่าผู้ต้องขังรายดังกล่าวเป็นผู้กระทำความผิดจากคดีประเภทใด เพื่อเข้าสู่ขั้นตอนจำแนกลักษณะผู้ต้องขัง

 

เช่น เป็นผู้ต้องขังจากคดีอุกฉกรรจ์ร้ายแรง คดียาเสพติด หรือคดีที่กระทำความผิดซ้ำในความผิดเกี่ยวกับเพศหรือที่ใช้ความรุนแรงหรือไม่ หรือคดีทุจริต ฯลฯ เพื่อวางมาตรการ หรือทาง ผบ.เรือนจำฯ อาจจะมีการสั่งการให้เจ้าหน้าที่ผู้คุมเฝ้าจับตากวดขันเข้มงวดเป็นพิเศษ และยังเป็นการป้องกันการคิดสั้นของผู้ต้องขังได้ด้วย 

 

 

รวมถึงจะมีการจัดลำดับชั้นนักโทษ โดยจะต้องเป็นกรณีที่เป็นนักโทษคดีเด็ดขาด คือ ศาลมีคำสั่งพิพากษาเรื่องโทษจำคุกเรียบร้อย ไม่ว่าจะเด็ดขาดชั้นต้น เด็ดขาดชั้นอุทธรณ์ หรือเด็ดขาดชั้นฎีกา ซึ่งกรณีที่ผู้ต้องขังรายใดไม่เคยต้องโทษจำคุกมาก่อน หรือเรียกว่าเป็นการต้องโทษครั้งแรก เมื่อเจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์พิจารณาองค์ประกอบต่าง ๆ แล้ว ผู้ต้องขังจะได้รับการจัดลำดับชั้นนักโทษเป็นนักโทษเด็ดขาดชั้นกลาง 

 

 

ทั้งนี้ สำหรับกระบวนการแรกรับผู้ต้องขังใหม่ เจ้าพนักงานเรือนจำจะมีการใช้เวลาทั้งสิ้นประมาณ 1 ชม. ต่อผู้ต้องขังหนึ่งราย

 

 

ระหว่างกระบวนการกักโรคโควิด-19 ระยะเวลา 5 วัน ผู้ต้องขังจะสามารถเยี่ยมได้เพียงทนายความ แต่เมื่อครบระยะเวลากักโรคเรียบร้อยแล้ว จึงจะสามารถเยี่ยมญาติได้ โดยจะต้องเป็นญาติที่ถูกระบุอยู่ในบัญชีรายชื่อการเยี่ยมญาติ 10 รายชื่อ ซึ่งรายชื่อดังกล่าวนี้สามารถเปลี่ยนแปลงได้ภายหลังครบ 30 วัน ส่วนเรื่องการฝากเงินเข้าบัญชีเงินฝากผู้ต้องขัง เพื่อใช้เป็นค่าใช้จ่ายซื้อของอุปโภคบริโภคระหว่างอยู่ในเรือนจำ

 

ขอบคุณข้อมูลกรมราชทัณฑ์

 

\"ทักษิณ\" อยู่ในเรือนจำ ใช้เงินได้เท่าไหร่? เปิดระเบียบการใช้ชีวิต