
"หมิว สิริลภัส" ลั่น! ถึงคิวรัฐบาลแก้ปัญหา ลดตีตราด้อยค่าผู้ป่วยจิตเวช
"หมิว สิริลภัส" ลั่น! ถึงคิวรัฐบาลเลิกมองข้ามปัญหาสุขภาพจิต ต้องแก้ปัญหาแบบยั่งยืน รณรงค์เพื่อลดการตีตรา-ด้อยค่าผู้ป่วยจิตเวช
ปัญหาสุขภาพจิตเป็นภัยเงียบที่อันตรายและพร้อมจะทำลายสังคมอยู่ทุกเมื่อ ปัจจุบันในประเทศไทยมีการคาดการณ์ว่าจากประชากรเกือบ 70 ล้านคน มีผู้ที่เสี่ยงเป็นผู้ป่วยจิตเวชอยู่ถึง 10 ล้านคน ล่าสุดทางเพจ พรรคประชาชน - People's Party ได้ออกมาโพสต์ข้อความ ปม! ปัญหาสุขภาพจิต ภัยเงียบกัดกินสังคมไทย ที่ทุกคนต้องช่วยกันสร้างความตระหนักรู้
โดยระบุข้อความว่า "สิริลภัส กองตระการ" สส.กรุงเทพฯ เขต 14 พรรคประชาชน ในฐานะผู้ที่ขับเคลื่อนและผลักดันการแก้ปัญหาสุขภาพจิตผ่านสภาผู้แทนราษฎรมาอย่างต่อเนื่อง อธิบายถึงความเลวร้ายของสถานการณ์ว่า ปัจจุบันอายุของผู้ป่วยที่เป็นโรคซึมเศร้าลดลงมาเรื่อยๆ มีข้อมูลว่าเด็กอายุ 6 ขวบก็กลายเป็นผู้ป่วยแล้ว ขณะที่วัยเรียนและวัยรุ่นกลายเป็นวัยที่มีอัตราการทำร้ายตัวเองและพยายามฆ่าตัวตายสูงสุด และมีจำนวนเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
ส่วนในวัยทำงานที่สวัสดิการต่างๆ ของรัฐไม่เพียงพอต่อการดำเนินชีวิต การลาป่วยเพื่อไปพบจิตแพทย์จึงเป็นภาระหนักที่ผู้ป่วยต้องแบกรับ และหากอาการของผู้ป่วยไม่ตอบสนองต่อยาที่อยู่ในบัญชียาหลัก ผู้ป่วยก็ต้องรับผิดชอบค่าใช้จ่ายยานอกบัญชียาหลักเอง ที่สำคัญกว่านั้น การกินยายังส่งผลกระทบข้างเคียงต่อการใช้ชีวิต ทำให้การทำงานไม่มีประสิทธิภาพ ทั้งที่กลุ่มคนเหล่านี้มีศักยภาพและเป็นทรัพยากรที่ทรงคุณค่าของประเทศ ส่วนในผู้สูงวัยเป็นวัยที่มีอัตราการฆ่าตัวตายสำเร็จสูงสุด ในยุคที่ประเทศเราก้าวเข้าสู่สังคมผู้สูงวัย แต่รัฐกลับละเลยกลุ่มคนที่เคยเป็นฟันเฟืองขับเคลื่อนประเทศ
ถึงเวลารัฐบาลยกระดับแก้ปัญหาสุขภาพจิต
สิริลภัสเสนอว่า ถึงเวลาแล้วที่รัฐบาลต้องทบทวนและยกระดับบริการสุขภาพจิตอย่างจริงจัง เพื่อให้ประชาชนเข้าถึงได้มากขึ้น เนื่องจากปัจจุบันผู้ป่วยต้องรอคิวพบจิตแพทย์นานหลายเดือน ขณะที่การรณรงค์เพื่อลดการตีตรา-ด้อยค่าผู้ป่วยจิตเวช และการให้ความรู้ด้านสุขภาพจิตยังทำได้ไม่เพียงพอ หากรัฐบาลให้ความสำคัญกับเรื่องนี้มากขึ้น จะช่วยป้องกันการสูญเสียบุคลากรสำคัญของประเทศที่ต้องจบชีวิตก่อนวัยอันควรเพราะเผชิญความทรมานในการป่วยเป็นโรคทางจิตเวช
ในโอกาสที่ประเทศไทยกำลังจะมีรัฐบาลใหม่ สิ่งที่รัฐบาลชุดนี้ควรเร่งทำทันที คือการทำงานเชิงรุกเพื่อช่วยเหลือผู้ที่ยังไม่ป่วย และปรับปรุงบริการสำหรับผู้ป่วยให้ดีขึ้น ไม่ว่าจะเป็น
(1) เพิ่มจำนวนบุคลากรด้านสุขภาพจิตและสร้างขวัญกำลังใจแก่ผู้ปฏิบัติงาน มีการทำงานร่วมกับภาคีเครือข่ายต่างๆ
(2) ลดเวลารอคอยก่อนการเข้ารับบริการ
(3) บรรจุบัญชียาหลักที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น ลดความเสี่ยงจากผลข้างเคียง เพื่อให้ผู้ป่วยได้เข้าถึงยาที่หลากหลาย เหมาะสมกับอาการ และไม่มีผลข้างเคียงที่กระทบต่อการใช้ชีวิตของผู้ป่วย
นอกจากนี้ สังคมควรช่วยกันรณรงค์ว่าอาการป่วยทางจิตใจไม่ต่างอะไรกับอาการป่วยทางร่างกาย ที่ต้องได้รับการรักษาอย่างถูกต้องและทันเวลา เราต้องลดการตีตราผู้ป่วยจิตเวช ช่วยกันกระจายองค์ความรู้ด้านสุขภาพจิตให้ขยายวงกว้างมากขึ้น เพื่อให้ประชาชนดูแลตนเองและคนรอบข้างได้เบื้องต้น มีความเข้าใจให้กับผู้ป่วยจิตเวชทุกคน เพื่อความเท่าเทียมกันของการเป็นมนุษย์