ข่าว

"ธนาธร" แนะทหารงดให้ความเห็นปัญหาชายแดน ควรฟังรัฐบาลพลเรือน

"ธนาธร" แนะทหารงดให้ความเห็นปัญหาชายแดน ควรฟังรัฐบาลพลเรือน

19 ก.ค. 2568

"ธนาธร" แนะปัญหาชายแดน ต้องอดทนอดกลั้น ทหารไม่ควรออกความเห็น ควรฟังรัฐบาลพลเรือน ยอมรับตกใจ ปชช. กลับมาไว้วางใจทหาร แต่ต้องการสันติภาพ ไม่ใช่สงคราม

เมื่อวันที่ 18 ก.ค. 2568 ที่โรงแรมอีสติน แกรนด์ พญาไท นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ อดีตหัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ ประธานคณะก้าวหน้า ร่วมพูดคุยเวที "Exclusive Talk : ผ่าทางตันประเทศไทย" กับ 3 บก. แห่งเครือเนชั่น ได้แก่ สมชาย มีเสน รองประธานกรรมการ บริษัท เนชั่น กรุ๊ป (ไทยแลนด์) จำกัด (มหาชน) , 
 บากบั่น บุญเลิศ รองประธานกรรมการบริหาร บริษัท เนชั่น กรุ๊ป (ไทยแลนด์) จำกัด (มหาชน) และประธานกรรมการ บริษัท ฐานเศรษฐกิจ มัลติมีเดีย จำกัด และ วีระศักดิ์ พงศ์อักษร บรรณาธิการอำนวยการเครือเนชั่น

 

ช่วงหนึ่งพิธีกรถามถึงสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชาคิดว่าจะบานปลายหรือไม่ หรือควรแก้ไขสถานการณ์อย่างไร นายธนาธร ตอบว่า ตนไม่กลัวเบื้องหลัง กลัวเบื้องหน้ามากกว่า เกมของกัมพูชา คือ ต้องการสร้างความได้เปรียบในเวทีโลก ผ่านศาลโลก หรือกระบวนการของ UNGA UNHC สิ่งที่เขาต้องการ คือ การยั่วยุให้เกิดความรุนแรงอยู่แล้ว ท่าทีของรัฐบาลไทยหรือกองทัพไทย จึงต้องอดทนอดกลั้น เป็นผู้ใหญ่และไม่ตกหลุมเขา ทำให้เกิดสถานการณ์ ความขัดแย้งเพิ่มขึ้น เกิดการปะทะจนนำมาสู่การบาดเจ็บล้นตาย เขาจะได้ความชอธรรมในเวทีศาล

\"ธนาธร\" แนะทหารงดให้ความเห็นปัญหาชายแดน ควรฟังรัฐบาลพลเรือน

 

สถานการณ์วันนี้คือ เบื้องหน้าไม่ใช่เบื้องหลัง เราจะทำอย่างไรให้สถานการกลับสู่สภาวะปกติเร็วที่สุด จึงจำเป็นต้องใช้รัฐบาลพลเรือน ผ่านกลไก JBC ที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศมาพูดคุยกัน ควรเร่งให้เกิดกลไกนี้เร็วที่สุด 


นายธนาธร กล่าวว่า ที่ดูสถานการณ์ตึงเครียด เป็นเพราะรัฐบาลพลาดในกรณีคลิปเสียง ดังนั้นจึงต้องทำท่าทีขึงขัง และนี่ก็เป็นสิ่งที่ตนกลัวและจะเข้าทางกัมพูชา  ท่าทีขึงขังนี้เกิดจากการที่ต้องการแก้ปัญหาทางการเมืองของตัวเอง แต่สิ่งที่ตนต้องการ คือ ลดความตึงเครียด ลดความรุนแรง ผ่านโต๊ะเจรจา เพราะหากเกิดอะไรขึ้นจะกลายเป็นข้ออ้าง ที่เขาสามารถใช้ในเวทีโลกและเราจะเสียเปรียบ

\"ธนาธร\" แนะทหารงดให้ความเห็นปัญหาชายแดน ควรฟังรัฐบาลพลเรือน

 

พิธีกรถามถึง กรณีโพลล่าสุด ประชาชนต้องการนายกรัฐมนตรีคนต่อไป คือ พลเอกประยุทธ จันทร์โอชา องคมนตรี และอดีตนายกรัฐมนตรี ซึ่งเป็นทหาร ไม่ใช่นายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ หัวหน้าพรรคประชาชนนั้น นายธราธร ระบุว่า ตนตกใจเรื่องอื่นมากกว่าเรื่องนี้ คือ การกลับมาไว้วางใจทหาร ซึ่งเป็นสิ่งที่ตนกังวล เนื่องจากประเทศไทยมีความหลากหลายเยอะมาก หลายชาติพันธุ์ วัฒนธรรมเต็มไปหมด สิ่งที่เราต้องการคือสันติภาพ การอยู่ร่วมกัน การเคารพในตัวตน และศรัทธาของกันและกัน เราไม่ได้ต้องการสงคราม

 

ดังนั้น สิ่งที่ตนเป็นกังวลก็คือ การใช้ความรู้สึกหรือสถานการณ์มาสร้างอารมณ์ความรู้สึก ชาตินิยมที่ล้นเกิน ซึ่งจะนำไปสู่การสร้างความเกลียดชังในสังคม เมื่อเมล็ดพันธุ์ของความเกลียดชังเบ่งบาน ก็จะเอาไม่ลง เพราะหากเมล็ดพันธุ์การแบ่งแยกผู้คน ที่ทำให้ผู้คนเกลียดกลัวกัน ระแวงกัน ด้วยการใช้ศาสนา ชาติพันธุ์ หรืออะไรก็ตาม มันนำมาสู่ ความเกลียดชังกันเอง ซึ่งไม่เป็นผลดีกับใคร

 

สิ่งที่สำคัญที่สุดคนที่เดือดร้อน คือ คนตัวเล็กตัวน้อยหน้างานของทั้งสองฝั่ง แต่คนที่ปลูกฝังเมล็ดพันธุ์เหล่านี้ และเก็บเกี่ยวผลประโยชน์ จากการเบ่งบานของเมล็ดพันธุ์แห่งความเกลียดชัง ที่นั่งอยู่ที่กรุงพนมเปญ ที่กรุงเทพฯ ไม่ได้เสียอะไร

 

พิธีกรถามว่า ไม่ได้คิดบ้างหรือว่า เนื่องด้วยสถานการณ์ทางการเมืองที่ประชาชนพึ่งพาไม่ได้เช่นนี้ จึงทำให้คนโหยหาทหาร นายธนาธร ตอบว่า แน่นอนที่สุดเราไม่ปฏิเสธว่า การที่รัฐบาลตอบโต้กัมพูชาในช่วงหลายเดือนก่อน น้อยเกินไป ช้าเกินไป แน่นอน แต่ก็ไม่ใช่ข้ออ้าง หากจะให้พูดกันตรงๆ คือ ทหารไม่สามารถออกมาให้ความเห็นเรื่องนี้ได้ และไม่ควรจะให้ความเห็น ต้องฟังรัฐบาลพลเรือน ซึ่งตนคิดว่าเรื่องนี้ สะท้อนปัญหาการเมืองไทยว่า รัฐบาลพลเรือนไม่สามารถแก้ปัญหาสถานการณ์กองทัพได้ แม้ว่าขณะนี้รัฐบาลพลเรือนจะแก้ข้อผิดพลาดด้วยการมอบอำนาจให้กับทหาร

 

นายธนาธร ยังบอกด้วยว่า เรื่องนี้ยังไม่สายเกินไปว่า เราต้องการสันติภาพ นี่คือพี่น้องกัน เดินข้ามถนน เดินข้ามพรมแดน ก็พี่น้องกันแล้ว ความร่วมมือจะนำมาซึ่งการสร้างผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจ และความมั่นคงทางวัฒนธรรมที่ดีกว่า เราอยากเห็นความสัมพันธ์ของเรากับเพื่อนบ้านเป็นแบบนี้ ไม่ใช่เป็นความสัมพันธ์ที่เผชิญหน้ากัน ดังนั้น เราต้องส่งเสียงทั้งสองฝ่ายว่า สิ่งที่เราแสวงหาร่วมกัน คือ ความร่วมมือ และสันติภาพ ไม่ใช่ความเกลียดชัง และสงคราม ส่งเสียงให้ดังๆ