ข่าว

‘จักรภพ’ ประกันตัว พร้อมช่วยงานรัฐบาล อยากเจอ ‘ทักษิณ’

‘จักรภพ’ ประกันตัว พร้อมช่วยงานรัฐบาล อยากเจอ ‘ทักษิณ’

28 มี.ค. 2567

‘จักรภพ เพ็ญแข’ ยื่นหลักทรัพย์ประกันตัวคดีอาวุธ 2 คดี ประกาศพร้อมช่วยงานรัฐบาล หากได้รับการทาบทาม ยอมรับอยากไปพบ ‘ทักษิณ’ พร้อมเป็นตัวกลางประสานนักโทษลี้ภัยการเมืองกลับประเทศ มองประชาธิปไตย ได้รับอนุญาตให้โตขึ้นแล้ว

นายจักรภพ เพ็ญแข อดีตรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ยื่นหลักทรัพย์ประกันตัวคดีอาวุธ 2 คดี คดีละ 200,000 บาท โดยมีคดีที่ศาลอาญากรุงเทพฯ และศาลจังหวัดพระนครศรีอยุธยา โดยทนายเปิดเผยว่าทางเจ้าหน้าที่ไม่ได้มีเงื่อนไขพิเศษอะไร โดยให้การปฏิเสธทุกข้อกล่าวหา โดยจะรวบรวมข้อเท็จจริงพยานหลักฐานต่างๆ ให้การเพิ่มเติมในภายหลัง และมีนัดมาพบพนักงานสอบสวนวันที่ 22-23 เมษายนนี้

 

นายจักรภพ กล่าวว่า กระบวนการนี้ นายโชคชัย อ่างแก้ว ทนายความ ได้ประสานกับเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องทั้งหมด ทำให้การทำงานวันนี้ราบรื่น และสิ่งที่ผมชื่นชมและประทับใจกับเจ้าหน้าที่มาก คือการอธิบายขั้นตอนต่างๆ เป็นไปอย่างครบถ้วน ทำให้เราสามารถรู้สิทธิของเรา สามารถตอบคำถามได้อย่างมั่นใจว่าจะสู้คดีได้ ส่วนผลจะเป็นอย่างไร ขึ้นอยู่กับกระบวนการยุติธรรม และอยากบอกว่า ออกจากประเทศไทยตั้งแต่ปี 2552 กลับมาในปี 2557 รวมเวลา 15 ปีเต็ม รู้สึกเสียดายเวลาที่จะได้รับใช้ประเทศชาติไปเยอะ จากนี้ไปเลยตั้งใจว่า อะไรที่ทำได้ก็จะทำ การเมืองก็เป็นวิถีทางหนึ่ง การทำงานด้านการต่างประเทศในบทบาทต่างๆ ผมก็จะรับทำต่อไป เมื่อพ้นจากเรื่องคดีแล้ว ก็จะขอทำตัวให้มีประโยชน์ต่อชาติในเวลาที่เหลืออยู่ในชีวิต

ส่วนที่เคยบอกว่าไม่มั่นใจกระบวนการยุติธรรม นายจักรภพบอกว่า เคยพูดไว้จริงเมื่อเกิดเหตุการณ์ยึดอำนาจตอนปี 2549 ใหม่ๆ ตอนนั้นรู้สึกไม่มั่นใจจริงๆ สิ่งที่ได้พูดสิ่งที่คิดตอนนั้น มาจากความจริงใจ ไม่มีอะไรย้อนกลับไปแก้ไข ยกเว้นแต่บอกว่า 10 กว่าปีที่ผ่านมานี้ได้คิดอะไรขึ้นเยอะ และประเทศไทยก็เปลี่ยนแปลงไปเยอะ อยากจะบอกพวกเราข้อนึง เราอยู่เมืองไทยอาจจะไม่ค่อยได้สังเกต แต่ตนเองอยู่ข้างนอกสังเกตได้เยอะว่าการเมืองในภาพใหญ่ เป็นไปในทางที่ดีขึ้นหลายเรื่อง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ระบอบประชาธิปไตย ได้รับอนุญาตให้เจริญเติบโตขึ้น อย่างระมัดระวัง ซึ่งตรงนี้ก็จะทำให้ทุกอย่างมั่นคงแข็งแรง โดยที่เราไม่เอาหัวไปชนกำแพง แล้วบอกว่าต้องเอาเดี๋ยวนี้เดี๋ยวนั้น

 

“ระบอบประชาธิปไตยไม่ได้อยู่ที่การสร้างอย่างเดียวแต่อยู่ที่การทำลายด้วย ถ้าอัตราของการสร้างมันสูงกว่าการทำลายมันก็เป็นเรื่องบวก แต่ถ้าหากสร้างไม่ทันการทำลายก็กลายเป็นเรื่องลบ ขอโทษที่ผมตอบชัดเจนมากกว่านี้ไม่ได้” นายจักรภพ กล่าว

 

ส่วนกระแสข่าวว่ามีดีล ถึงได้กลับมาเมืองไทย นายจักรภพ บอกว่า ฟังแล้วดูเหมือนกับเรื่องไม่ค่อยดีนะ แต่ทุกอย่างที่มาถึงขนาดนี้ ไม่มีอะไรที่เกิดขึ้นโดยไม่มีการพูดกัน ต้องบอกอย่างนี้ มันมีการคุยกัน แต่การคุยกันไม่ใช่หมายความว่ามาแลกกัน กลับมาแล้วมาแลกกับอันนี้อันนั้นไม่มี เป็นเรื่องการพูดว่าถึงเวลาหรือยังที่เราจะหาจุดร่วม แทนที่จะหาจุดต่างและทะเลาะกันเป็น 10 กว่าปี มันเสียเวลาไปเยอะเลย ก็เลยคุยกันในรูปแบบนั้น แต่ที่สำคัญที่สุด ที่มันเป็นไปได้ก็เพราะว่า การเมืองในภาคใหญ่เปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้น ซึ่งพูดไม่ได้มากกว่านี้ สิ่งที่พัฒนาขึ้นดีขึ้นตรงนั้นแหละ ที่ทำให้การพูดจากัน จากเดิมมันพูดไม่ได้ กลายเป็นพูดได้ แล้วก็นำมาสู่วันนี้

ส่วนการที่รัฐบาลพรรคเพื่อไทยจัดตั้งรัฐบาล เลยทำให้มีความเชื่อมั่นมากขึ้น นายจักรภพ คิดว่าเป็นส่วนประกอบเท่านั้น ส่วนหลักก็คือว่า แม้กระทั่งผู้ที่มีส่วนยึดอำนาจในอดีต ก็ปรับวิธีคิดไปเยอะ ย้อนกลับไปดูว่าเหตุการณ์ที่ผ่านมาใน 9 ปี 10 ปี มันเกิดอะไรขึ้น พูดง่ายๆ คือหลายอย่างที่เกิดขึ้น ไม่ได้เกิดขึ้นเพราะฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง แต่เกิดขึ้นเพราะทุกฝ่ายยอม เช่นฝ่ายนี้ต้องการจะสร้าง อีกฝ่ายหนึ่งก็ไม่ค้าน ไม่เจาะยาง มันเกิดขึ้นได้ก็เพราะว่าฝ่ายที่ต้องการสร้างประชาธิปไตย เขามุ่งมั่นสร้าง  ฝ่ายที่เคยทำลายประชาธิปไตย ลดบทบาทในการทำลายลงไปเยอะ ตรงนี้มันทำให้บรรยากาศดีขึ้น แต่เรื่องจะให้ทันใจคนมันอาจจะไม่ทันใจทั้งหมด ก็ต้องใจเย็นๆ รอให้ อายุเท่าพี่แล้วจะใจเย็นลง

 

ส่วนบทบาทหลังจากนี้ ที่เขียนลงใน Facebook เขียนว่า กลับมารับใช้ประเทศไทย ซึ่งความหมายก็คือว่าในบทบาทใดก็ตามการเมืองก็เป็นหนึ่งในนั้น ก็ไม่ได้คิดจะทิ้ง ที่แน่นอนก็คือว่าไม่ได้คิดที่จะมาเปลี่ยนแปลงอะไร หรือมาสร้างความวุ่นวายอะไรกับใครทั้งสิ้น เราจะมาสร้างบทบาทเล็กๆ ของเรา และเมื่อไหร่ที่มันมีบทบาทซึ่งมันเป็นการเสริม และการสร้างเพิ่มเติมขึ้นมาก็ค่อยเข้ามาตอนนั้น ส่วนถ้าเป็นเรื่องสื่อก็ต้องมาดูว่า มันยังมีพื้นที่ ยังต้องการคนโบราณอยู่หรือเปล่า ถ้ายังต้องการ พี่ขอไปเสริมตรงนั้น เพราะอยากจะให้คนไทยพร้อมต่อความเปลี่ยนแปลงในระดับระหว่างประเทศ โลกเปลี่ยนแปลงไปเยอะมาก อย่าง AI ถ้าเราไม่ปรับตัว พวกเราจะอาจจะตกงานครึ่งค่อนประเทศ ซึ่งต้องเตรียมคิดตั้งแต่ตอนนี้เลย ว่าจะเอาอะไรมาทดแทน มาทำอะไร พีอยากทำอะไรต่างๆ เหล่านี้ เรื่องภูมิอากาศที่เปลี่ยนแปลงไป Climate Change พวกเราก็รู้ว่าปีนี้ ทั้งน้ำทั้งฝนทั้งไฟ มันแรงขึ้นขนาดไหน ก็ต้องทำอะไรล่วงหน้าไว้ เรื่องแบบนี้นี่แหละที่จะมาทำ

 

“กว่า 15 ปีมันนาน เพราะว่ามันคิดถึงเมืองไทยทุกวัน นานเพราะว่าพ่อกับแม่เราเสียไปทั้งคู่ระหว่างที่พี่ไม่อยู่ นานเพราะว่าพวกเราที่เคยทำงานกับพี่มา กับผมมา ขาดโอกาสที่จะได้ทำงานต่อทางการเมือง เนื่องจากเราไม่ได้อยู่เป็นผู้นำหรือไปเชียร์ลีดเดอร์ให้ บรรดาเพราะเหตุพวกนี้ ส่วนตัวเองกี่ปีมันก็รอได้ มันก็ปรับตัวได้ เราคนเดียวจะกินจะอยู่แค่ไหนเชียว แต่ถ้าเราคิดถึงเรื่องโอกาสที่เสียไป มันก็เสียดาย ก็เลยพยายามทำใจตัวเองว่าไม่คิดแบบนั้น เอาว่าต่อไปจะกี่ปีก็ตาม ก็ทำให้มันคุ้มค่าที่สุด” นายจักรภพ กล่าว

 

ก่อนกลับมาทราบว่ามีคดีอะไรบ้าง ซึ่งตั้งแต่ปี 2549 เคยมีคดีเยอะถือเป็น 10 คดีก็ค่อยๆ ต่อสู้คดีไป มีหมดอายุความไปบ้าง สั่งไม่ฟ้องไปบ้าง ยกฟ้องบ้างในหลายกรณี เช่น ครั้งหนึ่งเคยถึงขั้นมีคดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ก็ปรากฏว่าคดีนั้นมีการสั่งไม่ฟ้องไป แต่เหตุที่ผมไม่ได้พูดอะไรในตอนนั้น จนหลายคนนึกว่ายังมีเรื่องนี้อยู่ ก็เพราะว่าบรรยากาศภาพรวมมันยังไม่ให้ ส่วนถ้ามีการพิสูจน์คดีกันแล้วและมีการทาบทามไปช่วยงานรัฐบาล ก็ยินดีรับ แต่จะไม่ไปในลักษณะที่ก่อให้เกิดความขัดแย้งภายในพรรคเดียวกันหรือพรรคไหนก็ตาม จะเข้าไปเสริม ถ้าไปดูแล้วท่าทางจะไม่ดี ก็ขออยู่เบื้องหลัง

 

นายจักรภพ ยอมรับว่า ก่อนกลับมา มีการพูดคุยกับนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมตรี ครั้งหนึ่ง ก็เรียนถามว่าเป็นอย่างไรบ้าง โดยภาพรวมเป็นอย่างไร แต่เราก็รู้ดีว่า เราก็ต้องต่างคนต่างทำการบ้านของเราในเรื่องคดีของเรา เพราะถึงแม้จะมีคดีการเมืองเหมือนกัน แต่มันคนละคดี ทั้งหมดไม่มีใครจะไปเลียนแบบของใครได้ มีการคุยกันแต่ไม่ได้ปรึกษากัน แต่เมื่อกลับมาแล้วก็จะไปพบกับนายทักษิณแน่นอน ยังไม่มีกำหนดการ แต่ก็พูดได้ว่าในโอกาสวันแรกที่ทำได้ เพราะคิดถึง อยากจะแวะไปหาท่าน ว่าท่านมีความสุขดีไหมตอนนี้ ซึ่งตอนที่โทรศัพท์คุยกันท่านพูดคำสำคัญว่า ยุคนี้หลายอย่างเปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้น เราก็พูดได้แค่นั้น

 

ส่วนการบังคับใช้คดี เมื่อทุกอย่างมันกลับเข้าสู่ล็อคที่ควรจะเป็น เราก็พบว่าบรรยากาศดีขึ้น แต่ว่าเรื่องแบบนี้ เราไม่ไปถามว่าเรื่องไหนมาจากใครอย่างไร เอาว่าเป็นแบบไทย

 

ส่วนแกนนำเสื้อแดงที่ลี้ภัย จะทยอยกลับมาประเทศไทยหรือไม่ นายจักรภพ บอกว่า ผมขอเสนอตัวเป็นคน ที่ช่วยเหลือสำหรับคนที่อยากจะกลับมา แล้วสามารถจะกลับมาได้ เพราะเรื่องคดีความยกตัวอย่างเช่น นายจารุพงศ์ เรืองสุวรรณ อดีตหัวหน้าพรรคเพื่อไทย ที่พูดอย่างนี้ ไม่ได้พูดเพราะว่าเรื่องที่รักมากมักที่ชังตามตำแหน่งหน้าที่ แต่ดูตามคดีแต่ละท่าน ถ้าคดีจัดการได้ง่ายแล้วก็มองเขาไว้ก่อน การช่วยเหลือคือต้องให้ความมั่นใจว่าเข้ามาแล้ว ตนเองก็เป็นเหมือนหนูทดลองยาเหมือนกัน ว่าผลเป็นอย่างไร เราก็ต้องบอกให้ความมั่นใจ เพราะเราบังคับความเชื่อของแต่ละคนไม่ได้ และพอมีความมั่นใจแล้ว มันถึงจะมาเรื่องคดี ว่าคดีไหนอยู่ที่ตรงไหนอย่างไร จะสู้ด้วยข้อกฎหมายแบบไหน อย่าลืมว่ากฎหมายไม่ได้อยู่ที่เดิม มีกฎหมายใหม่ๆออกมาเยอะ อย่างวันนี้ผมมาถึงสนามบินสุวรรณภูมิ มีความรู้ใหม่ว่ามีพระราชบัญญัติเกี่ยวกับการป้องกันการทรมาน นั่นหมายความว่าในการสอบปากคำ ต้องมีการบันทึกบรรยากาศไว้ตลอดด้วยวีดีโอ ทำให้รู้สึกว่ามีอะไรที่พัฒนาขึ้นเยอะ ซึ่งเหล่านี้เราก็ต้องบอกแต่ละคนว่ามันไม่ได้เหมือนเดิมแล้วนะ เพราะบางคนออกจากประเทศไป 7 ปี 8 ปี 10 ปียังฝังใจอยู่กับเรื่องเดิม

 

ส่วนมีใครในรัฐบาลติดต่อเข้ามาให้ไปทำงานหรือไม่ นายจักรภพ กล่าวว่ายังไม่มีและคงจะไม่ติดต่อใคร เพราะว่าเราอยากจะให้เขาสบายใจ ว่าทิศทางกำลังดำเนินไปอย่างดีแล้ว ถ้าจะมีอะไรเปลี่ยนแปลงไปก็ไม่เกี่ยวกับเรา เพราะถ้าเรากลับเข้ามาช่วยชาติ เราก็อย่าไปสร้างปัญหาเพิ่ม เพราะฉะนั้นผมก็คงจะรอเวลาที่มันเหมาะสมอีกทีนึง และระหว่างนี้ก็ต้องทำการบ้านตัวเอง กรุงเทพฯยังเดินไม่ถูกเลย เดี๋ยวหาความรู้เกี่ยวกับเรื่องพวกนี้ก่อนว่าอะไรอยู่ไหน จากนี้ไป จะขอไปกราบพ่อกับแม่ก่อน แม่ยังไม่ได้ฌาปนกิจแต่เก็บอยู่ที่วัดพระศรีมหาธาตุบางเขนเดี๋ยวออกจากนี้ก็จะไปเลยส่วนพ่อก็ฌาปนกิจไปแล้วก็จะไปกราบอัฐฐิที่บ้านน้องสาว และจากนั้นก็จะไปกราบศาลหลักเมือง

 

“การเมือง ไม่ได้หมายความว่าต้องลงสมัครรับเลือกตั้งหรือดำรงตำแหน่งทางการเมือง แต่อาจจะอยู่ทางนโยบายทางการเมืองการพัฒนาแนวคิดทางการเมืองก็ได้ ซึ่งอันนั้นไม่ปฏิเสธชวนมาไปเลย” นายจักรภพ กล่าว

 

ส่วนกรณีนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี หรือแกนนำคำเสื้อแดง จะกลับประเทศหรือไม่ นายจักภพ บอกว่า นั้นไม่เฉพาะคนเสื้อแดง แต่กรณีทุกคนที่รู้สึกว่าต้องออกไปต่างประเทศเพราะการเมือง เราจะช่วยทั้งหมดแต่ช่วยนั้น หมายความว่าเจ้าตัวต้องเต็มใจ เราไม่ไปบังคับใครให้กลับมา ส่วนทางนายกยิ่งลักษณ์ เท่าที่ทราบก็เหลือเพียงคดีจำนำข้าว คิดว่าท่านก็อยากกลับบ้านเมืองทุกคน แต่ตนเองคงไม่มีสติปัญญาจะไปช่วยอะไรระดับนั้น

 

ส่วนที่การกลับมาได้วันนี้ ไม่ใช่เป็นเพราะอำนาจรัฐบาลพรรคเพื่อไทย แต่เป็นไปเพราะว่าการเกิดขึ้นของรัฐบาลพรรคเพื่อไทย เพิ่มความมั่นใจว่าบรรยากาศต่างๆ มันเริ่มไปในทางที่ถูกต้องมากขึ้น ไม่ได้พูดว่าทุกอย่างมัน 100% แต่มันเป็นในทางที่ดีขึ้น และผมตัดสินใจรับความเสี่ยงตรงนั้นโดยที่กลับมาเข้ากระบวนการก็แค่นั้นเอง ดีลไม่มี มีแต่พูดคุยถึงบรรยากาศภาพรวมต่างๆ

 

ส่วนการบริหารงานของรัฐบาลในรอบ 6 เดือนที่ผ่านมา ท่านนายกรัฐมนตรีขยันมาก เราไม่ค่อยได้เห็น นายกรัฐมนตรีที่ขอลุยทำงานเดี๋ยวค่อยมาฟังทีหลังว่าจะวิจารณ์ยังไง ท่านทำงานไปข้างหน้าไปก่อน เป็นทัศนะที่ดี ถ้าเราทำเรื่องนึงแล้วท้อถอยเรื่องหนึ่ง มันก็ไม่ได้ทำต้องไปข้างหน้าก่อนแต่แน่นอนว่า ท่านมีข้อเด่นสำคัญคือท่านบริหารงานด้านอสังหาริมทรัพย์มาก่อน ท่านบริหารงานโครงการ เพราะฉะนั้นสามารถบริหารงานทีเดียว 10 โครงการ 20 โครงการก็ได้ เป็นคนที่มีหยักในสมองเยอะ ทำได้หลายเรื่องพร้อมกัน ไม่มีอะไรอยากแนะนำโดยเฉพาะ แต่อยากจะเสริมว่าเราควรจะสร้างทีม 2 คือต้องจับตามองความเปลี่ยนแปลงระหว่างประเทศแล้วนำมาใช้ให้เป็นประโยชน์มากที่สุด มุ่งหน้าไปที่กลุ่มคนที่ยังไม่มีอุปกรณ์หรือทรัพยากรในการต่อสู้เพื่อตัวเอง คนที่ยังไม่มีวิธีสู้คนที่เป็นกลุ่มที่ต่ำที่สุดในสังคมในทางเศรษฐกิจ ซึ่งรัฐบาลก็กำลังเดินไป

 

ส่วนกรณีพรรคก้าวไกลถูกยื่นยุบพรรค เข้าใจว่าทำไมเกิดขึ้นแบบนี้ จะขออนุญาตสงวนความเห็นเรื่องนี้ไว้ก่อน เพราะเพิ่งจะมาถึง เพราะมันเป็นเรื่องของการพัฒนาประชาธิปไตย ที่มันต้องดูว่าอะไรที่มันเป็นไปได้ในช่วงนี้ และอะไรที่ยังเป็นไปไม่ได้พูดง่ายๆ ก็คือว่า ถ้ามีใครที่เป็นวีรชนช่วงนี้ ก็คือเป็นคนที่ทดลองระบบว่าอะไรทำได้หรือไม่ได้ เพื่อเป็นประโยชน์ต่อคนอื่น และคนอื่นก็ต้องมองว่า ถ้าทำแบบนี้มันเกินเลยไป ก็ต้องมองว่าถอยแค่ไหน ถึงจะบริหารประเทศได้ คิดว่าประโยชน์มันมีแบบ