โฆษกก้าวไกล ติง แนวปฏิบัติรักษาความลับราชการ เข้าข่ายรัฐปกปิดข้อมูล
โฆษกพรรคก้าวไกล วิจารณ์การออกแนวทางปฏิบัติในการให้ข่าวสาร จากที่ประชุมคณะรัฐมนตรี ด้วยการเข้มงวดเจ้าหน้าที่รัฐ เหมือนเจตนาต้องการที่จะปกปิด ด้านโฆษกสำนักนายกฯออกโรงแจง สาระสำคัญคือ สำคัญคือไม่เผยแพร่ข้อมูลใด ๆ ในที่ประชุม ครม. ในเรื่องที่อยู่ระหว่างการพิจารณา
นายรังสิมันต์ โรม สส.บัญชีรายชื่อ โฆษกพรรคก้าวไกล เปิดเผยว่า ตามที่รัฐบาล โดยคณะรัฐมนตรี ( ครม. )ออกแนวทางปฏิบัติในการให้ข่าวสารสื่อมวลชน ซึ่งเป็นการบังคับใช้กับข้าราชการ ในการรักษาชั้นความลับ เท่าที่สัมผัสกับข้าราชการน้ำดี ที่มีความหวังดีต่อประเทศชาติ หลายคนก็รู้ว่าการเอาข้อมูลมาให้ฝ่ายค้าน ฝ่ายที่ตรวจสอบ ก็มีความเสี่ยงอยู่แล้ว ถามว่าที่ผ่านมาห้ามได้หรือไม่ ตนเชื่อว่าข้าราชการน้ำดีทั้งหลาย ก็อยากเห็นประเทศชาติดีกว่านี้ อาจจะเป็นเรื่องของอุดมการณ์ และเรื่องที่ทนไม่ได้กับการเห็นการทุจริตคอรัปชั่น เห็นสิ่งที่ไม่ถูกต้องเกิดขึ้นในหน่วยงานของตนเอง ก็พยายามทำหน้าที่เป็นข้าราชการที่ดี หวังดีต่อประเทศชาติ จึงเอาข้อมูลตรงนี้มาบอกฝ่ายค้านหรือไปแจ้งกับหน่วยงานที่มีอำนาจหน้าที่โดยตรง
ประเด็นที่คณะรัฐมนตรี ให้ความสำคัญในการออกกฎเกณฑ์แบบนี้ ก็น่าคิดว่ากลัวอะไรหรือเปล่า กลัวว่ามีการทุจริต กลัวว่ามีการบริหารงานที่ไม่ถูกต้อง กลัวว่าบริหารงานแล้วจะสร้างความเสียหายต่อประเทศชาติ พยายามเขียนเสือให้วัวกลัว พยายามออกกฎเกณฑ์ที่ทำให้ข้าราชการเกิดความเกรงกลัว และไม่เอาข้อมูลมาบอกฝ่ายค้านหรือไม่ ซึ่งถ้าเป็นแบบนี้ก็เป็นห่วงว่าในการบริหารงานของรัฐบาลในรอบนี้ จะเป็นการบริหารงานที่โปร่งใส มีความซื่อสัตย์สุจริต ไม่มีการทุจริตคอรัปชั่นหรือไม่ เป็นสิ่งที่สังคมอยากจะรับฟัง อยากจะได้ยิน
ในประเทศที่เจริญแล้ว มีความพยายาม อย่างกฎหมายคุ้มครองผู้ที่ให้ข้อมูล ให้เนื้อหาสาระบางอย่างนำไปสู่การจัดการ วันนี้ซึ่งเป็นรัฐบาลพลเรือน ในรอบหลายปีที่รอคอยกันมา กลับให้ความสำคัญในเรื่องการปกป้องข้อมูล ซึ่งอาจจะเป็นเรื่องทุจริตคอรัปชั่น ซึ่งถ้าเป็นแบบนั้นตนก็เป็นห่วงระยะยาว ในเรื่องการทุจริตคอรัปชั่นที่อาจจะเกิดขึ้นในรัฐบาลนี้
" ส่วนเรื่องนี้เป็นการปิดปากหรือไม่ ยังเชื่อในอุดมการณ์ของข้าราชการน้ำดี ใครก็ตามที่เป็นข้าราชการ หลายคนมีเจตนาที่ดี เมื่อพบเห็นการกระทำที่ไม่ถูกต้อง เชื่อว่าหลายคนก็พร้อมที่จะสู้เพื่อความถูกต้อง" นายรังสิมันต์ ระบุ
นายชัย วัชรงค์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ชี้แจงกรณีการเผยแพร่คำสั่งแนวทางการปฏิบัติการรักษาความลับทางราชการ ที่เกี่ยวข้องกับการประชุมคณะรัฐมนตรี ( ครม. ) และการให้ข่าวแก่สื่อมวลชน ฝ่าฝืนโทษหนักถึงปลดออก ว่า เรื่องดังกล่าว เป็น "มติ ครม. รับทราบแนวทางปฏิบัติ " ในการรักษาความลับของราชการที่เกี่ยวข้องกับการประชุม ครม. และการให้ข่าวสารแก่สื่อมวลชน ซึ่งกระทำต่อเนื่องกันมาย้อนหลังกว่า 20 ปี เรื่องดังกล่าว เป็นปกติ ในการแจ้งผู้เข้าร่วมประชุมครม. ถึงแนวทางปฏิบัติ โดยมีสาระสำคัญคือไม่เผยแพร่ข้อมูลใด ๆ ในที่ประชุม ครม. โดยเรื่องที่อยู่ระหว่างการพิจารณา อาจมีความอ่อนไหว และมีผลกระทบต่อความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ และ/หรือผลประโยชน์แห่งชาติ แต่หากเรื่องที่เป็นมติเห็นชอบ/อนุมัติแล้ว สามารถเผยแพร่สื่อสารได้ตามเหมาะสม
ส่วนเรื่องใดมีผลกระทบอ่อนไหว ขอให้หน่วยงานที่รับผิดชอบตรง เป็นผู้ชี้แจงหลัก และให้โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี มีหน้าที่และอำนาจให้ข่าวสารการประชุม-มติ-การดำเนินงาน ครม. และชี้แจงต่อสาธารณชน หากมีการเสนอข่าวคลาดเคลื่อนต่อความเป็นจริง
การประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ที่มีนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรมว.คลังเป็นประธาน เมื่อวันที่ 13 ก.ย. 66 ได้มีมติเห็นชอบแนวทางปฏิบัติในการรักษาความลับของทางราชการ ที่เกี่ยวข้องกับการประชุมครม. และการให้ข่าวสารแก่สื่อมวลชน ตามที่สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีเสนอ ดังนี้
.
1.ให้ยกเลิกมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 18 พฤษภาคม 2542 (เรื่อง การปรับปรุงแก้ไขมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวกับการรักษาความลับของทางราชการ และการให้สัมภาษณ์หรือให้ข่าวสารแก่สื่อมวลชน) วันที่ 11 พฤษภาคม 2547 (เรื่อง การรักษาความลับของทางราชการ) และวันที่ 22 พฤศจิกายน 2554 (เรื่อง การรักษาความลับในการประชุมคณะรัฐมนตรี)
.
2.แนวทางปฏิบัติในการรักษาความลับของทางราชการที่เกี่ยวข้องกับการประชุมคณะรัฐมนตรีและการให้ข่าวสารแก่สื่อมวลชน โดยให้รัฐมนตรี เจ้าหน้าที่ซึ่งเข้าร่วมการประชุมคณะรัฐมนตรีและเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องกับการประชุมคณะรัฐมนตรีถือปฏิบัติอย่างเคร่งครัด ดังนี้
ให้รักษาความลับหรือเอกสารของทางราชการที่เกี่ยวข้องกับการประชุมคณะรัฐมนตรี โดยแบ่งออกเป็น 3 ชั้น คือ ลับที่สุด ลับมาก และลับ ตามชั้นความลับที่ได้กำหนดไว้ตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการรักษาความปลอดภัยแห่งชาติ พ.ศ.2552 ซึ่งหากความลับดังกล่าวทั้งหมดหรือเพียงบางส่วนรั่วไหลไปถึงบุคคลผู้ไม่มีหน้าที่ได้ทราบ จะทำให้เกิดความเสียหายต่อความมั่นคงและประโยชน์แห่งรัฐ
ทั้งนี้ กรณีการเปิดเผยข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับการประชุมคณะรัฐมนตรี เลขาธิการคณะรัฐมนตรีหรือรองเลขาธิการคณะรัฐมนตรีที่ได้รับมอบหมายเป็นผู้มีอำนาจสั่งให้เปิดเผยข้อมูลดังกล่าวตามเงื่อนไขที่สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีกำหนดตามในมาตรา 20 (1) แห่งพระราชบัญญัติจข้อมูลข่าวสารของราชการ พ.ศ.2540
การพิจารณาหารือหรืออภิปรายของคณะรัฐมนตรีในการประชุมคณะรัฐมนตรีไปถือเป็นความลับของทางราชการ ดังนั้น รัฐมนตรี ผู้เข้าร่วมการประชุม และผู้มีส่วนเกี่ยวข้องกับการประชุมคณะรัฐมนตรี พึงระมัดระวังและไม่เปิดเผยข้อมูลใด ๆ เกี่ยวกับเรื่องที่พิจารณาในที่ประชุมคณะรัฐมนตรี
ในการจัดทำระเบียบวาระการประชุมคณะรัฐมนตรี
หากหน่วยงานเจ้าของเรื่องเห็นว่าเรื่องที่เสนอคณะรัฐมนตรีเป็นเรื่องที่มีชั้นความลับ มีความอ่อนไหว และมีผลกระทบสูงเกี่ยวข้องกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ เศรษฐกิจ ความมั่นคง ประโยชน์สาธารณะ หรือประโยชน์ของประเทศชาติ หากถูกนำไปเปิดเผยต่อสาธารณชนแล้วจะก่อให้เกิดความเสียหายต่อผลประโยชน์ของชาติอย่างร้ายแรง
ให้หน่วยงานเจ้าของเรื่องระบุไว้ในหนังสือนำส่งเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรีให้ชัดเจนว่า mเรื่องดังกล่าวเป็นเรื่องที่มีชั้นความลับ มีความอ่อนไหว และมีผลกระทบสูงอย่างไร หรือหากสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีพิจารณาแล้วเห็นว่าเป็นเรื่องที่เข้าลักษณะดังกล่าว สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีจะจัดทำระเบียบวาระการประชุมคณะรัฐมนตรี
โดยจะแจกเอกสารระหว่างการพิจารณาเรื่องดังกล่าวในระบบเรียกดูระเบียบวาระการประชุมคณะรัฐมนตรีด้วยเครื่องแท็บเล็ต (M-VARA) และหลังจากคณะรัฐมนตรีพิจารณาแล้วเสร็จจะถอนเรื่องออกจากระบบ M-VARA ทันที
ให้ส่วนราชการและหน่วยงานของรัฐดูแล และระมัดระวังมิให้ข้าราชการและเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องกับเอกสารการประชุมคณะรัฐมนตรีเปิดเผยเอกสารดังกล่าวก่อนการประชุมคณะรัฐมนตรี
กรณีมีผู้นำเอกสารหรือข้อความซึ่งเป็นความลับของทางราชการไปเผยแพร่จนก่อให้เกิดความเสียหายแก่ทางราชการ หรือเกิดผลกระทบต่อความมั่นคงของรัฐ ให้หน่วยงานเจ้าของเรื่องที่ได้รับความเสียหายพิจารณาดำเนินการตามกฎหมาย เช่น กรณีข้าราชการพลเรือนฝ่าฝืนข้อปฏิบัติตามมาตรา 82 (6) แห่งพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ.2551 ซึ่งบัญญัติให้ข้าราชการพลเรือนสามัญต้องรักษาความลับของทางราชการ
โดยหากฝ่าฝืน ข้าราชการพลเรือนผู้นั้นถือเป็นผู้กระทำผิดวินัยตามมาตรา 84 และหากการกระทำดังกล่าวเป็นเหตุให้เสียหายแก่ราชการอย่างร้ายแรงกรณีจะถือว่าข้าราชการพลเรือนผู้นั้นกระทำผิดวินัยอย่างร้ายแรงตามมาตรา 85 (7) ทั้งนี้ จะต้องถูกดำเนินการทางวินัยตามมาตรา 97 กล่าวคือ ให้ลงโทษปลดออกหรือไล่ออกตามความร้ายแรงแห่งกรณี
อนึ่ง ตามประมวลจริยธรรมของข้าราชการการเมือง พ.ศ.2564 ได้วางหลักเกณฑ์ในการประพฤติปฏิบัติอย่างมีคุณธรรมในเรื่องการรักษาความลับของทางราชการไว้เช่นเดียวกันตามข้อ 7 (3)
กล่าวคือ ข้าราชการการเมืองต้องยึดถือประโยชน์ส่วนรวมของประเทศชาติ โดยอย่างน้อยต้องไม่นำข้อมูลข่าวสารอันเป็นความลับของทางราชการซึ่งตนได้มาในระหว่างอยู่ในตำแหน่งไปใช้เพื่อให้เกิดประโยชน์แก่เอกชนทั้งในระหว่างการดำรงตำแหน่งและเมื่อพ้นจากตำแหน่ง และข้อ 8 (5) กำหนดให้ข้าราชการการเมืองต้องรักษาความลับของทางราชการ เว้นแต่เป็นการปฏิบัติตามหน้าที่และอำนาจตามกฎหมาย
เรื่องใดที่มีผลกระทบต่อประชาชนหรือประเทศชาติโดยส่วนรวม เมื่อคณะรัฐมนตรีมีมติแล้ว ให้หน่วยงานเจ้าของเรื่องที่รับผิดชอบเป็นหน่วยงานหลักชี้แจงต่อสาธารณชนและทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง และให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องชี้แจงเพิ่มเติมให้เป็นไปในทิศทางเดียวกัน
กรณีเป็นเรื่องที่คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบหรืออนุมัติตามมติของคณะกรรมการต่าง ๆ แล้ว ให้ประธานกรรมการหรือผู้ที่ได้รับมอบหมายจากคณะกรรมการชี้แจงในทำนองเดียวกันด้วย
ให้โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีมีหน้าที่และอำนาจให้ข่าวสารเกี่ยวกับการประชุมคณะรัฐมนตรี มติคณะรัฐมนตรี การดำเนินงานของคณะรัฐมนตรี รัฐมนตรี หรือกระทรวง กรม ตลอดจนชี้แจงต่อสาธารณชนเมื่อปรากฎว่ามีการเสนอข่าวคลาดเคลื่อนต่อความเป็นจริงหรือไม่ถูกต้องครบถ้วนอันอาจก่อให้เกิดความเสียหายต่อบุคลากรหรือรัฐบาล หรือการปฏิบัติผิดพลาดได้