ข่าว

เดือด อภิปรายฯ ‘นายกคนที่30’ สว.ถาม ‘เศรษฐา ทวีสิน’ เป็นใคร

เกาะติดข่าวสาร >> คมชัดลึก ออนไลน์
logoline

‘วันนอร์’ เดือดถูกถามจี้ใจดำ ก่อนสภาจะป่วน ‘โรม’ ยอมถอยญัญติมติรัฐสภา ‘หมอชลน่าน’ เสนอ ‘เศรษฐา’ นั่ง ‘นายกคนที่30’ ไร้คู่แข่ง สส-สว. เรียงหน้าอภิปรายฯ ติง สว.รับแจกกล้วย จี้ถาม เพื่อไทย แจงปมว่าที่นายกฯ เลี่ยงภาษี ทำรัฐเสียรายได้ 500 ล้าน จริงหรือไม่

วันที่ 22 ส.ค. 2566 เมื่อเวลา 10.00 น.การประชุมรัฐสภา ที่มีนายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานรัฐสภา เป็นประธานการประชุม มีวาระสำคัญในการพิจารณาบุคคลดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ครั้งที่ 3 หรือโหวตนายกรอบ3 แต่ก่อนเข้าสู่วาระการประชุม ประธานรัฐสภา ได้ชี้แจงสาเหตุการสั่งเลื่อนการประชุมรัฐสภา เมื่อวันที่ 4 ส.ค.ที่ผ่านมา หลังจากนายรังสิมันต์ โรม สส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล ได้เสนอญัตติด่วนด้วยวาจาให้ที่ประชุมรัฐสภาพิจารณาทบทวนมติรัฐสภา ในการเลือกนายกรัฐมนตรี ครั้งที่ 2 เมื่อวันที่ 19 กรกฎาคม 2566 ที่ห้ามเสนอชื่อนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล เป็นนายกรัฐมนตรีซ้ำได้ในสมัยประชุมนี้ว่า เนื่องจาก ในระหว่างนั้น ผู้ตรวจการแผ่นดิน ได้ยื่นคำร้องถึงศาลรัฐธรรมนูญให้วินิจฉัยมติของรัฐสภาไปแล้ว จึงกังวลว่า หากรัฐสภาเปิดให้มีการพิจารณา ก็อาจจะส่งผลกระทบ และละเมิดต่อกระบวนการวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญได้ จึงสั่งเลื่อนการประชุมดังกล่าวออกไป และหากในวันนี้ (22 ส.ค.) นายรังสิมันต์ ยังคงติดใจก็สามารถเสนอใหม่ได้

 

นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว หัวหน้าพรรคเพื่อไทย เสนอชื่อ นายเศรษฐา ทวีสิน เป็นนายกรัฐมนตรี

รังสิมันต์ โรม เสนอญัตติทบทวนมติรัฐสภา

โดย นายรังสิมันต์ โรม ได้ขอเสนอญัตติด่วนด้วยวาจา เพื่อขอให้ที่ประชุมรัฐสภาได้พิจารณาทบทวนมติรัฐสภา ในการเลือกนายกรัฐมนตรีครั้งที่ 2 ที่ผ่านมา เนื่องจาก มีนักวิชาการด้านกฎหมาย ออกมาแสดงความคิดเห็นว่ามติของรัฐสภาดังกล่าวไม่ถูกต้อง ที่ทำให้ข้อบังคับการประชุมรัฐสภาใหญ่กว่ารัฐธรรมนูญ ทั้งที่รัฐธรรมนูญ ไม่ได้กำหนดว่า จะไม่สามารถเสนอชื่อบุคคลเป็นนายกรัฐมนตรีซ้ำไม่ได้ และไม่ควรให้การตีความในลักษณะดังกล่าว กลายเป็นบรรทัดฐานในอนาคต พร้อมย้ำว่า การเสนอให้รัฐสภาทบทวนมติรัฐสภานั้น ไม่ใช่ความพยายามของตนเองที่จะทำให้ชื่อของนายพิธา กลับมาเสนอซ้ำในรัฐสภาได้ เพราะพรรคก้าวไกล ไม่ได้อยู่ในสถานะที่จะเสนอบุคคลเป็นนายกรัฐมนตรีได้ เพราะ 8 พรรคร่วมจัดตั้งรัฐบาลเดิมนั้น ได้แยกย้ายกันไปหมดแล้ว

 

 

ขณะที่ ประธานรัฐสภา ใช้อำนาจตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 80 วินิจฉัยไม่รับญัตติด่วนด้วยวาจาที่นายรังสิมันต์ เสนอมาในวันนี้ (22 ส.ค.) เพราะเห็นว่า การใช้ข้อบังคับการประชุมรัฐสภา ประกอบรัฐธรรมนูญที่ผ่านมานั้น เป็นไปโดยชอบแล้ว พร้อมชี้แจงว่า ฝ่ายกฎหมาย เห็นว่า ไม่ควรให้มีการทบทวนมติดังกล่าว เนื่องจาก จะทำให้การตัดสินใจของฝ่ายนิติบัญญัติไม่น่าเชื่อถือ ซึ่งรวมถึงเรื่องอื่น ๆ ด้วย และพร้อมเคารพความเห็นชอบนายรังสิมันต์ และความคิดเห็นของสังคมด้วย

 

เดือด อภิปรายฯ ‘นายกคนที่30’ สว.ถาม ‘เศรษฐา ทวีสิน’ เป็นใคร

วันนอร์ ของขึ้น ธีรัจชัย กล่าวหารู้เห็นเป็นใจกับเสียงข้างมาก

อย่างไรก็ตาม การใช้อำนาจประธานรัฐสภา ตีตกญัตติดังกล่าว ทำให้ สส.ของพรรคก้าวไกล ลุกขึ้นประท้วงการทำหน้าที่ของประธานรัฐสภา เนื่องจาก ศาลรัฐธรรมนูญ ไม่ได้มีคำวินิจฉัยใด ๆ และมีเพียงคำสั่งไม่รับคำร้องเท่านั้น

 

โดยนายธีรัจชัย พันธุมาศ สส.กรุงเทพฯ พรรคก้าวไกล ได้ลุกขึ้นประท้วงถึงการทำหน้าที่ของประธานรัฐสภา ที่ไม่เป็นกลาง และไม่กล้าใช้อำนาจประธานรัฐสภาชี้ขาด และรู้เห็นเป็นใจกับเสียงข้างมากของวุฒิสภา และพรรคขั้วรัฐบาลเก่า จนทำให้นายวันมูหะมัดนอร์ เรียกร้องให้นายธีรัจชัย ถอนคำพูดที่กล่าวหาตนเอง รู้เห็นเป็นใจกับเสียงข้างมาก พร้อมยืนยันว่า ตนเองก็ไม่ทราบว่า เสียงข้างมากในการลงมติดังกล่าวจะเป็นไปในทิศทางใด และไม่มีใครประท้วงในที่ประชุมว่า ประธานรัฐสภา จะให้เสียงข้างมากลงมติ ก่อนที่นายวันมูหะมัดนอร์ กล่าวด้วยน้ำเสียงมีอารมณ์ ให้นายธีรชัยถอนคำพูด มิเช่นนั้น สังคมก็จะเข้าใจตนเองผิดพลาด และขอให้มีความซื่อสัตย์ต่อตนเอง และซื่อสัตย์ซึ่งกันและกัน ก่อนที่นายธีรัจชัย จะยอมถอนคำพูด


 

โรม ถอนญัตติทบทวนมติรัฐสภา

หลังการปะทะคารมณ์กัน ระหว่างนายวันมูหะมัดนอร์ กับนายธีรัจชัย เสร็จสิ้น นายรังสิมันต์ ได้ลุกขึ้น ขอถอนญัตติด่วนด้วยว่าจาดังกล่าว เพื่อให้รัฐสภา สามารถเดินหน้าเข้าสู่วาระการประชุมรัฐสภา เพื่อพิจารณาบุคคลดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีต่อไป

 

 

ทั้งนี้การประชุมร่วมของรัฐสภา ที่มี นายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานรัฐสภา ทำหน้าที่เป็นประธานการประชุม เพื่อพิจารณาให้ความเห็นชอบบุคคลซึ่งสมควรได้รับแต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรี ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 272 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย

 

 

โดยจำนวนสมาชิกรัฐสภามี 747 เสียง เนื่องจาก น.ส.เรณู ตังคจิวางกูร สว.ลาออก 1 คน ,นายนครชัย ขุนณรงค์ สส.ระยอง พรรคก้าวไกล ลาออก และ นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล และ แคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของพรรคก้าวไกล ที่ถูกศาลสั่งให้หยุดปฏิบัติหน้าที่ สส.

 

 

ทั้งนี้ เมื่อเวลา 10.58 น. นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว หัวหน้าพรรคเพื่อไทย ได้ลุกขึ้นเสนอชื่อ นายเศรษฐา ทวีสิน แคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของพรรคเพื่อไทย บุคคลที่มีรายชื่ออยู่ในบัญชีรายชื่อที่สมควรเป็นนายกรัฐมนตรีของพรรคเพื่อไทย ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 88 พร้อมยืนยันว่า นายเศรษฐา มีคุณสมบัติ และไม่มีลักษณะต้องห้ามตามรัฐธรรมนูญ จึงขอให้ที่ประชุมรัฐสภา พิจารณาตามขั้นตอนต่อไป

 

 

จากนั้นเป็นการอภิปรายฯ ถึงความเหมาะสม และคุณสมบัติของนายเศรษฐา โดยจะใช้เวลา ไม่เกิน 5 ชั่วโมง โดยแบ่งเป็น สว. 2 ชั่วโมงและสส. 3 ชั่วโมง ซึ่งจะมีการลงมติไม่เกินเวลา 15.00 น.คาดว่าในเวลา 17.30น.จะเสร็จสิ้นการลงมติง

 

 

จี้ เพื่อไทย-เศรษฐา แจงปมเลี่ยงภาษีขายที่ดินทำรัฐเสียรายได้ 500 ล้าน

นายวิวรรธน์ แสงสุริยะฉัตร สมาชิกวุฒิสภา (สว.) ลุกขึ้นอภิปรายคนแรกถึงคุณสมบัติของ นายเศรษฐา ทวีสิน แคนดิเดตนายกรัฐมนตรีพรรคเพื่อไทย โดยบอกว่า สว. ต้องเลือกนายเศรษฐา ซึ่งทางพรรคเพื่อไทยได้มีการเสนอชื่อมาประมาณหนึ่งสัปดาห์กว่าๆ ซึ่งก็พยายามติดตามว่านายเศรษฐาทำอะไร ที่ไหน มีประวัติอย่างไร อีกทั้งได้สอบถามเพื่อนสว. ด้วยกัน ว่ารู้จักนายเศรษฐาหรือไม่ บางคนก็รู้จักว่าเป็นนักธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ เป็นเจ้าของหมู่บ้านจัดสรร แต่ตัวตนที่แท้จริงเป็นอย่างไร มีประวัติอย่างไร ส่วนใหญ่ก็ไม่ทราบ และทุกคนก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเป็นคนดีหรือไม่ เพราะส่วนใหญ่ไม่ได้เข้าไปคลุกคลี จึงเกิดคำถามแรกว่า คนที่จะมาเป็นนายกฯ เรายังไม่รู้จักว่าเป็นคนดีหรือไม่ดี ทำธุรกิจดีหรือไม่ดี สามารถนำพาประเทศไปได้หรือไม่ เราไม่รู้จักแล้วจะเลือกอย่างไร

 

 

เดือด อภิปรายฯ ‘นายกคนที่30’ สว.ถาม ‘เศรษฐา ทวีสิน’ เป็นใคร

เมื่อถามพรรคพวก สว.ส่วนใหญ่ ก็ไม่รู้จัก และมีคำถามในใจทุกคน เพราะตำแหน่งนี้มีความสำคัญ ประเทศจะเจริญต่อไปได้มันอยู่ที่นายกฯ เพราะหลังจากนี้ต้องไปสร้างทีมบริหารรัฐบาล แล้วเราก็ยังไม่รู้ว่าเขาเป็นใคร ทางพรรคเพื่อไทยก็ไม่ได้ทำเอกสารให้รับทราบว่าเขาเป็นใคร ประวัติเป็นอย่างไร เราพยายามติดตามข่าวจากสื่อก็เจอแต่ด้านลบตลอด เช่น การใช้วิธีเลี่ยงภาษีทำธุรกิจไม่ถูกต้อง ไม่ซื่อสัตย์สุจริต ผิดจริยธรรม มีเอกสารออกมาเยอะแยะ ก็ไม่รู้ว่าเอกสารที่ยื่นมาถูกต้องหรือไม่ ส่วนบริษัทแสนสิริก็ยื่นเอกสารมาโต้ตอบ แต่ไม่เคยออกมาชี้แจงให้ สว. หรือส่งให้ สว. ทราบ

 

 

“เวลา สว. จะเลือกนายกฯ ก็เป็นไปตามกฎหมายรัฐธรรมนูญ ซึ่งระบุว่าผู้ที่จะถูกเลือก ต้องมีความซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ตั้ง ต้องมีจริยธรรมเป็นเลิศ แต่ขณะนี้นายเศรษฐาถูกโจมตีตลอด ทำการค้าไม่ถูกต้อง เลี่ยงภาษีบ้างอะไรบ้าง เราพยายามหาข้อมูลว่าเป็นจริงหรือไม่ หรือแค่ถูกกล่าวหา หรือเป็นคนดี แต่พวกเราไม่ทราบจริงๆ แล้วจะไปเลือกได้อย่างไร จะเอาประเทศมาเสี่ยง เลือกคนๆ หนึ่งที่ไม่รู้ว่าเป็นอย่างไรมาปกครองประเทศ เอาประชาชนมาเป็นตัวประกัน เอาเศรษฐกิจ เอาประเทศชาติ เอาความเจริญมาเป็นประกัน แม้แต่สถาบันพระมหากษัตริย์มาเป็นประกันหรือ ผมฟังแล้วมีความรู้สึกว่าไม่ถูกต้อง แต่ในฐานะที่เราต้องเลือก ก็ต้องหาข้อมูล เมื่อไปตามเอกสารมาได้หลายชิ้น พบว่านายเศรษฐาถูกกล่าวหาการซื้อที่จากบุคคล 12 คนเพื่อทำธุรกิจ เอกสารที่เขาแอบอ้างขึ้นมาเป็นอย่างไร และนายชูวิทย์ก็มาแฉว่าแบ่งที่ดินเป็น 12 ส่วน เพื่อมาเลี่ยงภาษีในนามคณะบุคคล แต่ถ้าเป็นการเสียภาษีในนามบุคคลแล้วจะเสียภาษีน้อยลง ต้นทุนในการซื้อขายของแสนสิริถูกลง เราก็ไปดูข้อกฎหมาย เรื่องภาษีอากร ขอสรุปว่าคร่าวๆว่ามีการซื้อขายจริงกับแสนสิริกับประไพทรัพย์ ซึ่งมีผู้ถือหุ้น 12 ราย ในที่ดินแปลงเดียว มีการตกลงซื้อขายกว่า 1,500 ล้านบาท ต้องถามว่าเจตนาเพื่ออะไร เพราะถ้าซื้อเป็นรายบุคคล ฐานภาษีจะลดลง ผมก็ติดตามว่าทำให้รัฐเสียหายหรือไม่ เพราะการคำนวณภาษีก็ต่ำลงไปด้วย” นายวิวรรธน์ กล่าว

 

 

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ระหว่างที่ สว.วิวรรธน์ แสงสุริยะฉัตร อภิปรายฯ นายกคนที่30 อยู่นั้น ปรากฏว่า นายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานสภา ในที่ประชุม ได้กล่าวเตือนเรื่องการใช้เวลาเกินกำหนด นายวิวรรธน์ จึงบอกว่า ถ้ามันเกินบ้างขาดบ้าง ก็เชื่อว่ามี สว. บางคนจะสละเวลาให้ แต่ไม่เกินเวลาที่กำหนดแน่นอน ขออนุญาตประธานด้วย

 

 

นายวิวรรธน์ อภิปรายฯต่อว่า เมื่อตรวจสอบแล้ว 12 คนได้เข้าไปถือหุ้นตามสัดส่วน ซึ่งเป็นเรื่องของตัวบุคคล จากนั้นแสนสิริก็มาซื้อที่ดินแปลงนี้ ซึ่งทางบริษัทมีรายงานการประชุม และคนที่เซ็นในรายงานการประชุมคือนายเศรษฐา ซึ่งตอนนั้นเป็นซีอีโอหรือกรรมการบริษัท ต้องการซื้อที่ 12 คน ซื้อคนละวันกัน เจตนาเพื่ออะไร เพราะเวลาคิดภาษีทีละแปลง ราคาก็น้อยลง จากที่ตกลงซื้อกันในราคากว่า 1,570 ล้านบาท แต่เมื่อแยกแปลงออกไป เสียภาษีเพียง 59 ล้านบาท ซึ่งถ้าแสนสิริตรงไปตรงมา ซื้อที่ดินแปลงทั้งแปลงโดยไม่ได้แยกส่วนแบบนี้ จะเสียภาษีที่ดินอยู่ที่ 580 ล้านบาท เท่ากับหายไป 500 กว่าล้านบาท แทนที่เงินนี้จะเข้าหลวง

 

 

เมื่อปรากฏข้อเท็จจริงแบบนี้แล้ว นายเศรษฐาให้สัมภาษณ์กับสื่อว่าเป็นเรื่องการวางแผนภาษีของทางบริษัท ซึ่งตนไม่เข้าใจว่าการวางแผนภาษีบริษัททำให้รัฐเสียหาย แทนที่จะได้รับภาษี แต่กลับเสียภาษี มันไม่ใช่แล้ว จึงตั้งข้อสังเกตว่าน่าจะเป็นการเลี่ยงภาษีทำให้รัฐเสียหายหรือไม่?

 

ติง สว.รับแจกกล้วย จริงหรือ?

“เรื่องนี้ชัดเจนมีพยานหลักฐานอยู่ ดังนั้นการเลือกนายกฯ ครั้งนี้ เป็นสิ่งสำคัญที่สุด ประเทศชาติจะเจริญได้ต้องเลือกคนซื่อสัตย์สุจริต มีจริยธรรม ผมเชื่อว่า สว.ทุกคนในที่นี้ มีสิทธิ์เลือก มีจริยธรรมทุกคน ถ้ารู้ข้อเท็จจริงแบบนี้เขาพิจารณาได้ว่าจะเลือกหรือไม่ แล้วอย่าลืมว่าเวลาที่ให้คำปฏิญาณตนต่อหน้าพระพักตร์ในการทำหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์สุจริต เพราะผมได้ยินข่าวไม่ดีว่ามีการแจกกล้วยให้สว. ขอพูดตรงๆ ว่าเป็นคนดีๆ ไม่ชอบ อยากจะเป็นลิง อยากจะไปกินกล้วยชาวบ้านเขา ผมว่าผิดคำสาบาน ต่อไปจะโดนลงโทษ” นายวิวรรธน์ กล่าว

 

 

สุรทิน ถาม เศรษฐา ทวีสิน เป็นใครมาจากไหน

จากนั้น นายสุรทิน พิจารณ์ สส.บัญชีรายชื่อ และหัวหน้าพรรคประชาธิปไตยใหม่ อภิปรายคุณสมบัตินายเศรษฐา ทวีสินผู้ถูกเสนอชื่อเป็นนายกรัฐมนตรี โดย ระบุว่า ยังไม่มีความรู้จักนายเศษฐา มากพอ ว่าเป็นใครมาจากไหนมีครอบครัวหรือไม่

 

 

เดือด อภิปรายฯ ‘นายกคนที่30’ สว.ถาม ‘เศรษฐา ทวีสิน’ เป็นใคร

ทั้งนี้ อยากสอบถามเกี่ยวกับเงินดิจิตอล Wallet 5 แสนล้านบาท ว่ามีที่มาอย่างไรเป็นงบประมาณแผ่นดินหรือไม่ แซงสามถึงสี่ปีที่ผ่านมาติดลบจากภาวะเศรษฐกิจซึ่งหากไปยืมเงินก้อนนี้มาอย่างไรหรือว่าจะตกเป็นภาระของลูกหลานในอนาคต รวมถึงปัญหาอื่นๆ เช่น ปัญหาหนี้สิน ปัญหาเรื่องที่ดิน เหล่านี้จะแก้ไขปัญหาอย่างไรซึ่งตนอยากจะฟังวิสัยทัศน์หรือให้มาชี้แจงต่อสภาก็ได้

 

 

อย่างไรก็ตามตนอยากให้เกิดรัฐบาลโดยเร็ว และอยากได้คำตอบว่านายเศรษฐาจะแก้ปัญหาเหล่านี้อย่างไรเพื่อ จะได้นำข้อมูลไปชี้แจงและต่อประชาชนให้ได้

 

logoline

ข่าวที่น่าสนใจ