'วิโรจน์' ยังมอง 'เพื่อไทย' เป็นเพื่อน ถึงเวลา 'ฮึบ' ลืมเรื่องส่วนตัว
'วิโรจน์' ยังมอง 'เพื่อไทย' เป็นเพื่อน ไม่มีเงื่อไขกลับมาจับมือ แต่ถึงเวลา ฮึบ มองข้ามเรื่องเล็กน้อยและเรื่องส่วนตัว ทำเพื่อประโยชน์ ปชช. เหมือนเพลง 'ไม่ไหวบอกไหว' เตือนอย่าให้ฝ่ายอำนาจเดิมหลอก
นายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร สส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล กล่าวถึงกรณีการกลับมาจับมือของพรรคเพื่อไทยและพรรคก้าวไกลอีกครั้งว่า เป็นความรู้สึกที่สะท้อนออกมาจากประชาชน เราก็สะท้อนออกไปเท่านั้นเอง ส่วนจะกลับมาจับมือกับพรรคก้าวไกลอีกครั้งหรือไม่ ตนขอใช้คำว่า "กลับมาอยู่ฝั่งประชาชนดีกว่า" เป็นทางออกที่เราจะสามารถปกป้องเสียงประชาชน ฟื้นฟูอุดมการณ์ของประชาธิปไตย ที่อำนาจสูงสุดเป็นของประชาชนขออย่าเพิ่งคิดว่าใครจับมือกับใคร ถึงเวลาที่เราต้องเคารพเสียงประชาชนที่เค้าออกไปเลือกตั้ง
นายวิโรจน์กล่าวต่อว่า เรื่องนี้ยังไม่พูดคุยในพรรค เป็นความเห็นส่วนบุคคล หากทุกคนตามประวัติการเมืองจะเห็นได้ว่า ฝ่ายอำนาจนิยมหรือฝ่ายอนุรักษ์นิมยม เค้าก็เจ้าเล่ห์เพทุบายโหดเหี้ยม จุดแข็งฝ่ายอำนาจเก่า คือ เค้ารวมตัวเหนียวแน่น ใช้ยุทธวิธีเดิมๆ แบ่งแยกและปกครอง
แต่คราวนี้ฝ่ายประชาธิปไตย บางครั้งต้องลืมความรู้สึกปักเจกบ้าง ครั้งนี้เป็นเรื่ององกรค์รัฐธรรมนูญที่อาจจะมีความเห็นไม่ตรงกันบ้าง หากเรามีอุดมการณ์ใกล้เคียงกันก็ต้องทำใจให้กว้าง ไม่คิดเล็กคิดน้อย มองผลประโยชน์ของประชาชนเป็นสำคัญ หากแตกกัน จบเลย
ส่วนเวลานี้พรรคเพื่อไทยถึงเวลาที่หันกลับมาหาพรรคก้าวไกลแล้วหรือไม่ นายวิโรจน์ กล่าวว่า เค้าก็มีสิทธิเดินหน้า หรือถอยหลัง จะเดินซ้ายเดินขวาก็เป็นสิทธิ์ของเขา เรามองจากภายนอก ซึ่งที่ผ่านมาต้องยอมรับว่าฝ่ายประชาธิปไตยถูกกระทำและถูกหลอก จากฝ่ายอำนาจเก่าซ้ำแล้วซ้ำเล่า และฝ่ายนั้น ไม่เคยแตกแถว กินข้าวทำเหมือนแตกแต่สุดท้ายกลับมารวมกัน เป็นการแยกกันดตี รวมกันเดิน
แต่เราเป็นฝ่ายประชาธิปไตย ถ้าเรื่องอุดมการณ์ต้องแยกให้ชัด หากอุดมการณ์ใกล้เคียงกันแต่มีประเด็นที่เห็นต่างบางครั้งก็ต้องทำใจกว้างและเอาเรื่องคิดเล็กคิดน้อยหรือเรื่องส่วนตัววางไว้ข้างๆ และเอาประชาชนเป็นหลัก
ส่วนที่แคนดิเดตพรรคเพื่อไทยถูกตั้งข้อกังขา นายวิโรจน์ มองว่า ก็เป็นเรื่องที่น่าเห็นใจ และขอให้กำลังใจนายเศรษฐา ทวีสิน เช่นกัน เพราะเราเคยคาดการณ์ และเตือนกันมาก่อน อย่างพรรคก้าวไกลก็โดนเรื่อง ม.112 ที่หยิบมาเป็นข้ออ้าง พอเห็นท่าทีเราเปิดใจรับฟัง พร้อมที่จะยืดหยุ่น แต่สุดท้ายอีกฝ่ายก็ไม่เอาอะไรที่เป็นก้าวไกลเลย ช่วงแรกๆก็บอกว่าไม่มีปัญหา หลังๆปัญหาก็ค่อยๆงอกออกมา แสดงให้เห็นว่า อีกฝ่ายอำมหิตขนาดไหน เราแค่จะบอกว่าอย่าไปยอมให้มันหลอกเลย ซึ่งมองว่าหากเปลี่ยนแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีอีกฝ่ายหนึ่งก็หาเรื่องอยู่ดี
เชื่อว่าตอนนี้ประชาชนไม่ยอมให้โดนหลอกแล้ว อย่างเช่น ตอนพรรคก้าวไกลโดนเรื่อง ม.112 ประชาชนก็ทราบว่าไม่ใช่ปัญหา เป็นข้ออ้างมาเล่นงาน ซึ่งจริงๆอีกฝ่ายกลัว พรรคก้าวไกลเข้ามา การปราบทุจริต แก้โครงสร้าง กลุ่มทุนผูกขาดหรือเครือข่ายอุปถัมภ์กินร่วมกินเรียบทรัพยากรของประเทศ กลัวว่าเอาเปรียบและกดขี่ประชาชนไม่ได้เหมือนเดิมอีก เค้าทำทุกวิถีทางพยายามขึ้นมา
นายวิโรจน์ กล่าวต่อว่า หากถามวิโรจน์ไม่รู้สึกอะไรเลย ก็ไม่ใช่ ถึงจังหวะต้องฮึบ ต้องลืม เหมือนกับเพลง "ไม่ไหวบอกไหว" ต้องจับมือและไปกันต่อ ไม่ใช่เรื่องส่วนตัว ทั้งนี้ไม่มีเงื่อนไขพิเศษอะไรถ้าเพื่อไทยกลับมา แต่ต้องมาคุยกันว่า "โอเครู้แล้วใช่ไหม โดนแล้วใช่ไหม เราจะร่วมมือจับมือสู้ต่ออย่างไร" แต่เดิม 8 พรรค 312 เสียงแต่ทำไมดูยากเย็น เราไม่สู้กับ 188 เสียง แต่เราสู้ 424 (188+236) เชื่อกันหรือไม่ว่า สว.แต่ละคนอิสระ ไม่ใช่ ้เป็นสว.ระบบกดปุ่ม แม้ 13 สว. ที่โหวตนายพิธา จะช่วยโน้วน้าว สว.คนอื่นๆ แต่ก็ต้องคุยกับเจ้าของปุ่มอยู่ดี จะเชื่อว่า เจ้าของปุ่มได้หรอ คิดว่าจะโหวตให้ฟรีๆโดยที่ไม่เข้าร่วมรัฐบาลได้หรือ "โถ่ว อย่าเรียกว่ายาก เลยโลกนี้ไม่มีอะไรฟรี"
ส่วนอนาคตยังสามารถทำงานร่วมกับพรรคเพื่อไทยได้หรือไม่ นายวิโรจน์ กล่าวว่า ยังทำงานได้ อุดมการณ์ยังตรงกัน ใกล้เคียงกัน คุยได้ ทำไมเราถึงพูดว่า "มีลุงไม่มีเรา" มันต่างกันสิ้นเชิง กับเพื่อไทยเรายังมองเป็นเพื่อนเรา ร่วมทำงาน ร่วมเป็นฝ่ายค้าน เราตอบไม่ได้หรอกว่า 100% ส่วนใหญ่เราคิด เรามองตรงกัน เรื่องนิดๆน้อยๆ ถ้าถึงจังหวะที่จะต้องมองข้ามบ้าง ไม่ไหวบอกไหวบ้างก็ต้องทำ