ข่าว

'เรืองไกร' จี้สอบซื้อที่ดินแสนสิริ 'เศรษฐา' มีเอี่ยวหรือไม่

เกาะติดข่าวสาร >> คมชัดลึก ออนไลน์
logoline

'เรืองไกร' ร้อง กมธ.พัฒนาการเมือง วุฒิสภา สอบซื้อที่ดินแสนสิริ 'เศรษฐา' มีเอี่ยวหรือไม่ ชี้อาจส่งผลต่อโหวตเลือก 'นายกรัฐมนตรี' ปมซื่อสัตย์สุจริต ย้ำหากได้นายกฯ เดินหน้าสอบคุณสมบัติต่อ

 

7 ส.ค. 2566  นายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ สมาชิกพรรคพลังประชารัฐ และอดีตสมาชิกวุฒิสภา เดินทางมายื่นเรื่องต่อคณะกรรมาธิการการพัฒนาการเมืองและการมีส่วนร่วมของประชาชน วุฒิสภา ให้ตรวจสอบกรณี นายเศรษฐา ทวีสิน แคนดิเดตนายกรัฐมนตรี พรรคเพื่อไทย 

 

หลังจากที่นายเศรษฐา ถูกเสนอชื่อให้ที่ประชุมรัฐสภา พิจารณาเลือกเป็นนายกรัฐมนตรี มีคุณสมบัติเหมาะสมหรือไม่ หลังนายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ ออกมาแฉปมการซื้อขายที่ดินแห่งหนึ่ง และมีข้อสงสัยเกี่ยวกับการเลี่ยงภาษี จนอาจไม่เป็นไปตามรัฐธรรมนูญ 160 (4) ในเรื่องของความซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์หรือไม่

 

นายเรืองไกร กล่าวว่า ขณะนี้คณะกรรมาธิการฯ ในฝั่งของสภาผู้แทนราษฎร ยังไม่เกิดขึ้น จึงนำเรื่องมาให้ทางวุฒิสภาตรวจสอบรอบด้าน ทั้งผู้ร้อง ผู้กล่าวอ้าง คนแก้ต่าง บริษัทแสนสิริ หรือฝ่ายกฎหมายของพรรคเพื่อไทย เพราะทั้งหมดยังไม่มีข้อยุติ จึงต้องมายื่นให้กรรมาธิการสอบหาข้อเท็จจริงจากหน่วยงานหลัก 

 

 

 

โดยการขอเอกสารจากนายชูวิทย์ ขอเอกสารจากบริษัทแสนสิริ เกี่ยวกับการซื้อขายที่ดินทั้งหมด ตั้งแต่สัญญาจะซื้อจะขาย รูปเล่มการลงบัญชี การจ่ายแคชเชียร์เช็ค การจ่ายค่ามัดจำสัญญา ค่าธรรมเนียม รวมไปถึงเชิญเจ้าหน้าที่กรมที่ดิน ที่รับจดนิติกรรมต่างๆ เจ้าหน้าที่สรรพากร เพื่อให้ข้อมูลว่าเป็นการวางแผนภาษี หรือหลบเลี่ยงภาษี หรือหนีภาษีหรือไม่ ส่วนที่นายเศรษฐา ชี้แจงว่าซื้อถูกต้องตามหลักธรรมาภิบาล ก็ต้องฟังความทั้งหมด จึงคิดว่า 10 กว่าวันที่ยังมีเวลา ก็ควรให้กรรมาธิการได้ดำเนินการ

 

 

 

ด้าน นายดิเรกฤทธิ์ เจนครองธรรม สมาชิกวุฒิสภา และรองคณะกรรมาธิการพัฒนาการเมืองฯ ซึ่งเป็นผู้รับเรื่อง กล่าวว่า จะนำเรื่องเข้าสู่คณะกรรมาธิการให้พิจารณา โดยจะให้ความเป็นธรรมกับทุกฝ่าย และเชิญผู้ที่เกี่ยวข้องมาชี้แจง เพื่อให้เกิดข้อเท็จจริงประกอบการพิจารณาการทำหน้าที่ของวุฒิสภาในการโหวตเลือกนายกฯ อีกครั้ง ซึ่งกรรมาธิการฯจะเสนอเรื่องไปยังคณะกรรมาธิการชุดอื่นที่เกี่ยวข้องต่อไป ย้ำว่า สว. มีหน้าที่โดยตรง ในการร่วมเลือกนายกฯ 

 

นายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ ยืนหนังสือตรวจสอบการซื้อที่ดินแสนสิริ

 

 

 

เมื่อถามว่า อีก 10 กว่าวันที่จะเลือกนายกฯ กรรมาธิการจะ พิจารณาแล้วเสร็จ ทันหรือไม่ นายดิเรกฤทธิ์ กล่าวว่า เงื่อนเวลาเป็นเรื่องสำคัญที่ต้องเร่งดำเนินการให้ได้ข้อเท็จจริงมากที่สุดโดยเร็ว โดยจะมีการทำหนังสือคู่ขนานไปยังภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง และเชิญบุคคลมาชี้แจงโดยเร็ว

 

 

 

ส่วนการแสวงหาข้อเท็จจริงจากภาคเอกชน ขอบเขตของกรรมาธิการมีแค่ไหน นายดิเรกฤทธิ์ บอกว่า ก็ต้องขอข้อเท็จจริงจากผู้ที่มีส่วนได้เสีย และเป็นประโยชน์กับเขาเอง ก็ควรจะต้องให้ได้ข้อมูลที่ครบถ้วน แต่ไม่มีกฎหมายเชิงบังคับว่าให้ทำ แต่นี่คือผลประโยชน์ร่วมกันของผู้ถูกกล่าวหา สว.ที่จะมีข้อมูลในการพิจารณา และเป็นผลประโยชน์ต่อประชาชนในกระบวนการคัดเลือกนายกฯ ที่มีความสมบูรณ์

 

 

 

ส่วนที่เบื้องต้นบริษัทแสนสิริ ชี้แจงว่านายเศรษฐา อาจไม่เกี่ยวข้องกลับการซื้อขายที่ดิน เพราะเป็นแค่ผู้ลงนาม พอจะรับฟังได้หรือไม่ นายดิเรกฤทธิ์ บอกว่า ข้อเท็จจริงทุกฝ่ายรับฟังได้อยู่แล้ว แต่เราอยากฟังความเห็นจากทุกฝ่ายให้ครบถ้วน ซึ่งดีกว่าการไม่รับฟัง ซึ่งการที่นายเรืองไกรนำข้อมูล ข้อเท็จจริง และเสนอแนะให้ติดตามขอข้อมูลจาหน่วยงาน ประโยชน์ถือว่าเป็นเรื่องที่ดี เป็นประโยชน์ และเชื่อว่าจะเป็นธรรมกับทุกฝ่ายที่สุด

 

 

 

ขณะที่ นายเรืองไกร ยังตั้งข้อสังเกตกรณีสัญญาซื้อขายที่ดิน 12 ฉบับ ว่าเป็นเรื่องที่แปลกมาก เนื่องจากผู้ขายทั้ง 12 คน ลงเหมือนกันว่าทั้งสองฝ่ายไม่ทราบขอบเขตที่ดินและเนื้อที่มีเพียงใด ซึ่งเอกชนทั้ง 12 ราย ที่รับที่ดินมาปี 2561 แล้วขายในปี 2562 โดยการได้มาไม่เกิน 5 ปีจะต้องมีการเสียภาษีธุรกิจเฉพาะ เสียภาษีเงินได้เป็นรายบุคคล เมื่อเสียภาษีเงินได้ ค่าธรรมเนียยมร้อยละ 2 และภาษีธุรกิจเฉพาะแล้ว จะไม่เสียอากรแสตมป์ 

 

 

 

ดังนั้นมองว่าสิ่งที่กรรมาธิการควรจะได้รับจากบริษัทแสนสิริ คือรายงานการประชุมของบริษัทที่จัดทำโดยคณะกรรมการตรวจสอบประจำปี 2562 ที่ระบุชัดเจน ถึงการดำเนินงานของบริษัท และโดยเฉพาะข้อ 6 การกำกับดูแลกิจการที่ดี ซึ่งบริษัทเข้าเป็นแนวร่วมการต่อต้านการทุจริตคอรัปชั่น (CAC)
 

 

 

และในปี 2562 ที่นายเศรษฐา อาจไม่ได้รับรู้เรื่องการทำทุรกรรม แต่เมื่อดูจากงบการเงินปี 2562 ระบุไว้อย่างชัดเจน นายเศรษฐาถือหุ้นร้อยละ 4.66 ซึ่งสอดรับกับรายงานการประชุมที่บอกว่าทำไมต้องมอบและแบ่งเป็น 12 ครั้ง ซึ่งจะต้องมีการชี้แจง หากเห็นว่าถูกต้องตามหลักกฏหมายและธรรมาภิบาล ตามที่แสนสิริชี้แจง 

 

 

 

นอกจากนี้ยังเห็นว่าที่ดินแปลงดังกล่าว เป็นที่ดินรอการพัฒนา มูลค่าที่ดิน 1,600 ล้านบาท เป็นที่ดินที่เพิ่มขึ้นจากปี 2561 อย่างมีนัยยะสำคัญ เพราะในหมายเหตุของงบการเงิน ที่ดินรอการพัฒนาน่าจะอยู่ในรายการนี้ปี 2561 มี 13,000 กว่าล้านบาท ส่วนปี 2562 มี 18,000 ล้านบาท เพิ่มมา 5,000 ล้านบาท จึงเป็นเหตุผลที่ตนต้องให้กรรมาธิการเรียกเอกสารทางบัญชี ซึ่งจะได้รับคำตอบว่าผู้รับเงินทั้ง 12 รายรับเงินไปแล้วเป็นแคชเชียร์เช็คส่วนหนึ่ง หรือรับเงินสุทธิหรือไม่ รวมถึงภาษีค่าธรรมเนียบร้อยละ 3 ซึ่งต้องดูว่ามีการจ่ายภาษีอีกทอดหนึ่งหรือไม่ รวมถึงมูลค่าที่ดินรอการพัฒนา ทางบริษัทแสนสิริ บันทึกราคาที่ดินบวกค่าธรรมเนียมภาษีหรือไม่ ถ้าค่าธรรมเนียมรวมลงได้ แต่ถ้าภาษีเงินได้ธุรกิจเฉพาะออกให้ ต้องถือเป็นเงินได้พึงประเมินหรือไม่ สรรพากรต้องตอบ

 

 

 

นายเรืองไกร กล่าวว่า คนที่จะเป็นนายกฯ จะต้องชี้แจงเรื่องเหล่านี้ ว่าตอนที่เป็นผู้บริหารปี 2562 เรื่องที่ถูกกล่าวหาเหล่านี้ชี้แจงอย่างไร ซึ่งข้อมูลคงได้แค่เบื้องต้นในการวินิจฉัย แต่สมมติว่านายเศรษฐา ได้เป็นนายกฯ มาตรา 160 จะถูกหยิบขึ้นมาว่ารัฐมนตรีเคยมีความซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์หรือไม่ ถ้านายเศรษฐา ได้เป็นนายกฯ ตนจะช่วยเข้ามาตรวจสอบ และมีความจำเป็นต้องดูว่านายกฯ ก่อนที่จะเข้ามามีสถานะมีเหตุหรือไม่อย่างไร จะไม่สามารถไปยืนยันข้อเท็จจริงว่า นายเศรษฐา ขาดคุณสมบัติ หรือมีลักษณะต้องห้ามเลยคงไม่ใช่ ไม่งั้นจะเป็นการชี้นำสมาชิกรัฐสภามากเกินไป

logoline

ข่าวที่น่าสนใจ