ข่าว

เปิดใจ ‘ชลน่าน’ ยอมรับ ‘หนักใจ’ สว.ตัดสินใจสวนทางเสียงของประชาชน

14 ก.ค. 2566

'ชลน่าน' หัวหน้าพรรคเพื่อไทย เปิดใจ 'รู้สึกรันทดมาก' ที่ดึงสถาบัน มาอภิปรายโหวตนายกฯ หนักใจ เมื่อ สว.ตัดสินใจผ่านนโยบาย สวนทางมติของประชาชน เชื่อโหวตกี่ครั้งก็เหมือนเดิม ยันต้องหารือ 8 พรรคร่วมตั้งรัฐบาลสรุปแนวทางสู้

นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว หัวหน้าพรรคเพื่อไทย ปฏิเสธที่จะกล่าวถึงแผนที่ 2 สำหรับการเลือกนายกรัฐมนตรี โดยย้ำว่า จะต้องกลับไปดูที่แผน 1 เพราะ 8 พรรคร่วมจัดตั้งรัฐบาล โดยเฉพาะพรรคก้าวไกล และพรรคเพื่อไทย จะต้องกลับไปปรึกษาหารือกันว่า หลังจากนี้ จะใช้กลยุทธ์ ยุทธศาสตร์ ดำเนินการอย่างไร เพื่อให้ได้คะแนนเสียงจากรัฐสภา ครบ 376 เสียง

 

โดยไม่สามารถทิ้งเวลาให้ล่าช้าได้ พร้อมยอมรับว่า ภายในพรรคเพื่อไทย ได้มีการพูดคุยกันบ้างแล้วหลังปิดประชุมรัฐสภาเมื่อวาน (13 ก.ค.) และพรรคเพื่อไทย ก็ยังรอนัดหมายจากพรรคก้าวไกล มาพูดคุยในเรื่องดังกล่าวอยู่ด้วย แต่ไม่ได้ลงรายละเอียด

 

แต่จากการประเมินผลการลงมติโหวตนายกฯ ในกลุ่มที่ไม่เห็นชอบ และงดออกเสียง เป็นเหตุผลที่อยู่นอกเหนือรัฐธรรมนูญ เพราะบุคคลซึ่งสมควรได้รับการแต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรี ระบุเพียงจะต้องมีคุณสมบัติ และไม่มีลักษณะต้องห้าม โดยได้รับการเสนอชื่อจากพรรคการเมือง ไม่ได้กล่าวถึงเจตนารมณ์ทิศทางทางการเมือง อุดมการณ์ทางการเมือง หรือนโยบายพรรคฯ

 

จึงทำให้คาดการณ์ได้ว่า หากรัฐสภามุ่งเน้นเรื่องดังกล่าว เมื่อพิจารณาในที่ประชุมรัฐสภา ผลการลงมติก็ไม่น่าจะแตกต่าง และโอกาสที่จะได้รับความเห็นชอบก็ยากด้วยเช่นกัน ซึ่งหากที่ประชุมรัฐสภา พิจารณาโดยคุณสมบัติ ก็สามารถชี้วัดได้ตรงไปตรงมา แต่ถ้าใช้เหตุผลอื่นก็อยู่บนพื้นฐานความเชื่อความศรัทธา ก็ทำให้การพิจารณาลำบาก 

 

ยอมรับว่า หนักใจ เพราะสมาชิกรัฐสภาส่วนใหญ่คิดเช่นนี้ แต่ประชาชนที่ลงคะแนนให้ก็ตัดสินมาในทิศทางนี้ ทำให้ความไม่สอดคล้องระหว่างรัฐสภา กับประชาชน โดยพรรคก้าวไกล และพรรคเพื่อไทย รวมถึง 8 พรรคร่วมจัดตั้งรัฐบาลจะต้องพูดคุยในเรื่องดังกล่าว บนพื้นฐานความให้เกียรติพรรคก้าวไกล เคารพข้อเสนอของพรรคก้าวไกล ในฐานะแกนนำจัดตั้งรัฐบาล และสรุปเป็นแนวทางร่วมของ 8 พรรคร่วมจัดตั้งรัฐบาล

 

มีทางออกให้ประเทศ-ปชช.เป็นผู้ชนะ

แต่ตนเองก็ไม่ได้รู้สึกท้อแท้ หรือสิ้นหวัง เพราะเมื่อได้รับอาณัติจากประชาชนมาแล้ว ก็มีพลังเพียงพอทีจะหาทางออกให้กับประเทศ บนความสมดุลที่ดีที่สุดได้ แต่ก็ยังยอมรับว่า การจะไปเปลี่ยนความเชื่อของสมาชิกวุฒิสภา(สว.)นั้น เป็นไปได้ยาก เพราะมีเงื่อนไขว่า จะต้องไม่มีพรรคการเมืองใดอยู่ในรัฐบาล จึงทำให้การตัดสินใจ เป็นไปด้วยความยากลำบาก และตนเองยังมั่นใจว่า ยังมีหนทางที่เป็นทางออกให้กับประเทศ ที่ไม่มีผู้ใดแพ้ทุกฝ่าย หรือชนะทุกฝ่าย โดยที่ประชาชนจะเป็นผู้ชนะ

 

ทั้งนี้ พรรคเพื่อไทย และพรรคก้าวไกล จะไม่ยินยอมให้กลุ่มขั้วรัฐบาลเดิมใช้เป็นข้ออ้างในการจัดตั้งรัฐบาล ทั้ง 2 พรรคแกนนำจะแก้สมมการทางการเมืองที่เกิดขึ้นขณะนี้ให้ได้

 

อยู่ที่การพูดคุยระหว่างพรรคเพื่อไทย พรรคก้าวไกล และ 8 พรรคร่วมฯ ซึ่งหากยังคงยืนยันชื่อของนายพิธา เป็นนายกรัฐมนตรี แล้ว 8 พรรคร่วมฯ จะมีแนวทางใดมารองรับ 

 

ทั้งนี้ ผู้ที่ชนะการเลือกตั้ง ย่อมรู้ก่อนการลงมติ มิเช่นนั้นจะไม่ลงแข่งขัน และยอมรับว่า ข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นในการอภิปรายประชุมรัฐสภามุ่งไปที่ประเด็นดังกล่าว ทำให้ทั้งพรรคเพื่อไทย พรรคก้าวไกล และ 8 พรรคฯ จะต้องไปแก้สัมมการภายในรัฐสภานั้น 

 

ยืนยันว่า รัฐบาลที่ดีที่สุด ที่ควรจะเป็น โดยเกิดการสูญเสียน้อยที่สุด และประเทศชาติได้ประโยชน์ที่สุด จะต้องมีพรรคเพื่อไทย และก้าวไกลอยู่ด้วยกัน และยังหวังว่า รัฐสภาจะเปลี่ยนความคิด เพื่อประโยชน์ของประเทศชาติ และประชาชน ไม่ให้ได้รับผลกระทบต่อเศรษฐกิจ และความเชื่อมั่นของประเทศ

 

ชื่นชมพรรคก้าวไกลมีจุดยืนมั่นคง

“ผมเห็นใจพรรคก้าวไกล และชื่นชมในจุดยืนที่มั่นคง เพราะถือเป็นนโยบายสำหรับการหาเสียง และประชาชนยอมรับ จึงต้องยืนยันในจุดยืนดังกล่าว แต่เมื่อเข้าสู่ขั้นตอนของการจัดตั้งรัฐบาล และรวบรวมเสียงเป็นนายกรัฐมนตรีให้ได้ 376 เสียงเป็นรัฐบาลของประชาชนแล้ว ก็ควรจะต้องหาความเหมาะสมที่สุด โดยมั่นใจว่า พรรคก้าวไกล ก็มีเหตุและผล โดยไม่จำเป็นต้องลดอุดมการณ์ หรือแนวทางขณะนี้ ซึ่งตนไม่สามารถชี้นำได้”

 

แต่ยอมรับว่า การประชุมรัฐสภาโหวตนายกฯ ตนเองรู้สึกรันทดมาก จนคิดจะเสนอให้การประชุมดังกล่าวเป็นการประชุมลับ เพราะ สส. และ สว. มีการอภิปรายถึงสถาบัน ทั้งด้านบวก และด้านลบ และทุกคนก็อยู่บนพื้นฐานที่สถาบัน จะต้องอยู่เหนือการเมือง แต่ในการประชุมเมื่อวาน จึงเป็นการดึงสถาบันมาอภิปราย ทั้ง 2 ฝ่าย แต่พรรคเพื่อไทย ก็ได้เตือน สส.ห้ามอภิปราย หรือแตะถึงสถาบันไม่ว่าแง่มุมใด

 

ผู้สื่อข่าวรายงวานว่า 15.00 น. ของวันนี้(14ก.ค. 2566) แกนนำพรรคเพื่อไทย และพรรคก้าวไกล มีนัดหารือเพื่อหาทางออกโหวตเลือกนายกรัฐมนตรี และการจัดตั้งรัฐบาล ให้บรรลุเป้าหมายให้เร็วที่สุด