นักวิชาการ ประเมิน ต้องจับมือเพื่อตั้งรัฐบาล เป็นไปได้ยากพรรคเดียวในสภา

รายการ คมชัดลึก เนชั่นทีวี เปิดประเด็นเรื่อง จับสัญญาณ รัฐบาลปรองดอง ปิดฉาก “ประยุทธ์” เพื่อวิเคราะห์สถานการณ์กการเมืองหลังเปิดรับสมัครเลือกตั้งแบบแบ่งเขตทั่วประเทศ 

รศ.ดร.เจษฎ์ โทณะวณิก คณะนิติศาสตร์ วิทยาลัยบัณฑิตเอเชีย กล่าวว่า การเลือกตั้ง2566 ดูคึกคักมากกว่า การเลือกตั้ง 2562 เพราะยังมีประเด็นที่ยังไม่แสดงตัวออกมาหมด อย่างปี 2562 มีหลายเรื่องที่แสดงออกมาชัดเจน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องกลไกที่ให้มีการเรื่องตั้ง นับตั้งแต่รัฐธรรมนูญ ผู้คนมีแนวคิดโน้มเอียงไปกันว่า ถ้าใครมีสายสัมพันธ์กับคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.)

ในตอนนั้นหรือก่อนหน้านั้น ก็มีโอกาสมากกว่า และมีการปูทาง ตั้งพรรคการเมืองไว้รองรับอยู่แล้ว ในการจะนำเอาพลพรรคของพรรคการเมือง ที่มีฐานเสียงทั่วประเทศเข้ามารวมกัน และออกมาเป็นพรรคพลังประชารัฐ นอกจากนั้น ยังมีการดำเนินการต่างๆที่จะกีดกันพรรคการเมืองที่เคยจัดตั้งรัฐบาล และเป็นชนวนเหตุของการรัฐประหารถึง 2 ครั้ง รวมถึงมีการวางหมากวุฒิสภา เราทราบกันดีว่าใครนั่งหัวโต๊ะในการเลือกสว.เพื่อมาเอกนายกรัฐมนตรี 

ถึงแม้ว่าอำนาจทั้งหมดจะไม่ได้หายไป แต่แม้ สว. อาจจะไม่มีมนต์ขลังเท่าปี 2562 มีเสียงพูดกันว่า สว.เสียงแตกเป็น 4 ส่วน เดิม แบ่ง 3 ส่วน ของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา สัดส่วนของ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ และของ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา และในส่วนของทั่วไปที่สรรหาจากทั่วประเทศ แต่ก็ต้องมีสายสัมพันธ์กับทั้ง 3 ป. ในสถานการณ์ปัจจุบัน พล.อ.อนุพงษ์ไม่สามารถทราบได้ว่าจะสนับสนุนใคร สว.ฝั่งท่านไม่รู้ว่าจะเทคะแนนให้ใคร ส่วนสว.ที่ไม่ได้อยู่ฝั่งใคร มีเสียงแย้มมาว่า อาจจะต้องมีการแจกกล้วย ความเป็นเอกภาพจะต้องมีอะไรมาเชื่อมโยง

แต่ตอนนี้ยังไม่แน่นอน ทำให้ความกริ่มเกรงที่คนมีกัน แบบสมัยปี 2562 คนมองว่าพรรคใหญ่ที่สุดคือ พรรค สว. แต่ตอนนี้ไม่แน่ว่าจะใช่หรือเปล่า  นอกจากนี้ในการเลือกตั้งทั่วโลกน้อยมากที่จะมีพรรคการเมืองได้คะแนนกึ่งหนึ่ง ระบบการเลือกตั้งสร้างขึ้นมาไม่ได้ที่จะเพื่อตัดคะแนนใคร แต่เพื่อสร้างความเป็นธรรม แต่เมื่อกติกาเปลี่ยน ไม่แน่ว่า พรรค สว. จะใหญ่ที่สุด เพราะ เพื่อไทย ไปแลนด์สไลด์ 310 เสียง เพียงแต่งว่าถ้าใหญ่ขนาดนั้นจริง จะต้องจับมือใครก็ไม่จำเป็น การขับเคลื่อนสภามีสูงพอสมควร จะจับกับใครหรือไม่จับกับใครอาจจะไม่ต้องเลยก็ได้ และประเด็นที่ว่าสิ้นมนต์ขลังของ สว. กำลังจะสิ้นไป รศ.ดร.เจษฎ์ มองว่า สมมุติว่าถ้ามีอะไรเป็นเงื่อนไข หรือปัจจัย เช่น เพื่อไทยไม่เหมาะสม ไม่ว่าจะด้วยเรื่องอะไรก็ตาม หรือถ้าเพื่อไทยไปจับมือกับใคร แล้วจะก่อให้เกิดความวุ่นวาย สว.ทั้ง 4 ส่วนก็อาจจะมีความเป็นเอกภาพขึ้นมา 
 

ต่อให้เพื่อไทยได้ 310 เสียง ไม่จับมือกับพรรคไหนเลย หรือก้าวไกล ไม่มาร่วม ก็มีพรรคอื่นๆ มารวมกันอาจจะได้เกิน 375 เสียง เช่น 376 เสียง เลือกนายกรัฐมนตรีได้ พอเปิดประชุมสภาแถลงนโยบายต่อสภา สภาคว่ำนโยบาย  บริหารราชการแผ่นดินไม่ได้ สมมุติรัฐธรรมนูญเปิดช่อง ให้สามารถอภิปรายไม่ไว้วางใจได้เลย ลงมติไม่ไว้วางใจ นายกรัฐมนตรีออกไป เสียงข้างน้อยที่เลือกนายกรัฐมนตรีมาแต่เดิม บวกกับสว. เลือกนายกฯคนเดิมกลับมา ตรงนี้เกิดขึ้นได้เพราะรัฐธรรมนูญไม่ได้ปิดช่องทาง ทำให้มองว่า สว. ยังมีพลังอยู่ 
แม้จะไม่ถึงขั้นเลือกความสงบ จบที่ลุงตู่ แต่ถ้าสถานกาณ์ส่อความวุ่นวาย ก็มีแนวโน้มที่จะเลือกแบบนี้ก็ได้ ถึงแม้ว่าเพื่อไทยอาจจะแลนด์สไลด์ไปเลย หาวิธีที่จะเป็นจุดลงตัวไหม เช่น พลังประชารัฐไปรวมกับเพื่อไทย เจรจาบางอย่าง ลดทอนความฮึกหาญของเพื่อไทยลงบ้าง เพื่อให้บ้านเมืองเดินหน้าไปได้ ให้ลุงป้อมเป็นนายกฯ กระทรวงด้านความมั่นคง ที่เหลือกระทรวงอื่นๆ เช่น กระทรวงคมนาคม กระทรวงอุตสาหกรรม เป็นต้น เพื่อไทยเอาไป ด้านพัฒนาสังคมและมนุษย์ ท่องเที่ยวและกีฬา ก็ให้พรรคอื่นว่ากันไป ในประเด็นก้าวไกล ด้วยความที่มีแนวทางที่เพดานสูง อาจจะต้องไปเป็นฝ่ายค้านก่อน เพื่อให้เพื่อไทยสมารถคุมเสียงสว.ให้ได้ การมีพลังประชารัฐ ด้วยการสัญญาใจจับมือกันไปสักชั่วหนึ่ง แล้ว พล.อ.ประวิตร ถอยออกมาเพื่อเปิดทางให้ไม่ว่า คุณเศรษฐา หรือ คุณแพทองธาร 
ในเรื่องของข่าวการจับมือพลังประชารัฐ เพื่อไทยบอกว่าเป็นการปล่อยข่าวให้เกิดความเสียหาย  รศ.ดร.เจษฎ์ มองว่าเป็นการประเมินที่ไม่ค่อยเป็นผลดีกับทางแฟนที่เหนียวแน่น ยังไงก็เชื่อตามที่เพื่อไทยเป็น เช่นเดียวกับแฟนพรรคพลังประชารัฐ  เรื่องการจับมือกับใคร ไม่ช่วยเปลี่ยนใจได้ การห้ามวิเคราะห์วิจารณืหรือแม้แต่การคิดสูตรการจับมือทางการเมืงอที่ประหลาด เป็นสิ่งที่ห้ามไม่ได้ รวมถึงการวิเคราะห์เรื่องนายทักษิณ ชินวัตร เป็นเรื่องที่วิเคราะห์กันได้ สิ่งที่ไมว่าพรรคการเมืองไหนก็ตามควรจะทำ คือเก็บรวบรวม สิ่งที่เป็นประโยชน์ สิ่งที่เคยทำให้กับประชาชน ไปอธิบายให้เขาฟัง หาเสียงด้วยนโยบายในสิ่งที่จะถูกสานและนำไปต่อ ไปทำให้เขาเข้าใจ เหมือนการแข่งกีฬา ถ้าไปมัวฟังเสียงการวิจารณ์ จะทำให้แพ้  กลับกันถ้าไม่สนใจ แล้วเตรียมตัวมาให้ดี ลงสนามก็เล่นให้เต็มที่ เราแพ้ก็อาจจะเพราะเราเตรียมตัวได้ไม่พอ ไม่ใช่เพราะคำวิจารณ์ การทำแบบนี้คือการแสดงความหนักแน่น มั่นคง ประชาชนที่จะเลือกคุณ เขาจะเห็น คุณต้องบอกเลยว่าผมมั่นใจในกระแสของผู้สนับสนุน 
จากผลการสำรวจความเห็นต่างๆ มองว่า ถ้าพรรคฝ่ายค้านรวมกันคะแนนเสียงได้เกินกึ่งหนึ่ง ส่วนเรื่องสว.ช่าง สว. ยืนหยัดว่านี่คือเสียงข้างมากในสภาล่าง เป็นเสียงที่จะจัดตั้งรัฐบาล เป็นที่เสียงที่จะบริหารราชการแผ่นดิน และจะนำพามาซึ่งนายกรัฐมนตรี ซึ่งต้องเป็นแบบนี้ และสว.ต้องตามเสียงนี้ เป็นปึกแผ่น ไม่ใช่แตกไปแตกมา หรือไม่ใช่ไปรวมกับเสียงข้างน้อย จะต้องนำเสนอแบบนี้ อย่างไปมุ่งมั่นแค่แลนด์สไลด์ พรรคการเมืองไม่ว่าพรรคไหนก็แล้วแต่ ถ้าแลนด์สไลด์อย่างเดียว ถามว่า จำนวน 300 กว่าเสียงมีใครจะได้จริง แต่ความเป็นจริงที่เป็นเหตุเป็นผลกว่า คือการจับมือกันของ เพื่อไทย ก้าวไกล เสรีรวมไทย รวมกันเกินกึ่งมีความเป็นไปได้ คุณอาศัยความเป็นไปได้นี้ ถ้าคุณไม่ละทิ้งเพื่อน คุณไม่มุ่งมั่นแสดงศักยภาพเกินไป เป้าหมายที่แท้จริงคือ รวมกันกับพันธมิตรเดิม แล้วไปร่วมกันจัดตั้งรัฐบาล มาต่อรองกับสว.ในการได้เสียงข้างมาก และที่สำคัญ ฝ่ายอนุรักษ์นิยม ได้เปรียบมากกว่า เพราะอาจจะไม่ต้องต่อรอง ถ้าได้เสียงข้างมากแบบปี 2562 ยังไงสภาบนก็เลือกตาม ทำยังไงไม่ให้เกิดเสียงแตก แม้แต่พลังแระชารัฐ กับ รวมไทยสร้างชาติ แม้จะแยกกันไปแล้ว ก็ต้องมีการคิดสูตรในเรื่องของถ้ามีความจำเป็นต้องจับมือกัน 
รศ.ดร.เจษฎ์ มองสถานการณ์ต่อไปว่า ในเบื้องกลาง เรื่องของการจับมือกัน รวมไทยสร้างชาติจะจับมือกับก้าวไกลได้ไหม แทบจะเป็นไปไม่ได้ เมื่อเราตัดสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ออกไป ก็จะเหลือสิ่งที่เป็นไปได้ เช่น การจับมือกันระหว่าง เพื่อไทย พลังประชารัฐ ภูมิใจไทย กับพรรคอื่นๆ ยกเว้นรวมไทยสร้างชาติ กับ ก้าวไกล เสรีรวมไทย มีความเป็นไปได้ที่จะมีเสียงเกิน 375 เสียง