ข่าว

'เพื่อไทย' ประกาศชัด ดันแผนเป้า 310 เสียง ผ่าทางตันการเมือง

เกาะติดข่าวสาร >> คมชัดลึก ออนไลน์
logoline

เพื่อไทย ประกาศชัดเจน ปรับแผนไปให้ถึง 310 เสียง เพิ่มอำนาจการต่อรอง เป็นรัฐบาลที่แข็งแรง ยัน ประกาศชัดไม่จับมือ พลังประชารัฐ แก้ไขเกมการเมือง

 
นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว หัวหน้าพรรคเพื่อไทย ประกาศขัดเจนในยุทธศาสตร์ ต้องไปให้ถึง 310 เสียง ที่เวทีหาเสียงที่ จ.พิจิตร หวังตั้งรัฐบาลพรรคเดียว ความสนใจของแวดวงการเมืองจงวิเคราะห์ว่า ค่อนข้างยาก ในการเลือกตั้งหนนี้ 
รายการ คมชัดลึก เนชั่นทีวี เชิญ หัวหน้าพรรคเพื่อไทย มาพูดคุยในประเด็น เพื่อไทยขอ 310 ปิดประตูจับมือ “ลุงป้อม”

เพื่อไทยขอ 310 ปิดประตูจับมือ “ลุงป้อม”
นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว  กล่าวว่า เป็นสิ่งที่ต้องการให้พี่น้องประชาชนรวมมือกับพรรคเพื่อไทย เป็นการสื่อสารในเวทีปราศรัยและเป็นความตั้งใจ ตอนที่ประชุมใหญ่สามัญประจำปี เมื่อวันที่ 9 มี.ค. ที่ผ่านมา ก็มีการพูดคุยกันในประเด็นนี้แล้ว  เหตุของความตั้งใจมีที่มาที่ไปชัดเจน ถ้าเพื่อไทยชนะเลือกตั้ง ไม่สามารถเลือกนายกรัฐมนตรีได้ แม้จะได้เสียงเกิน 250 เสียงก็ตาม จะไม่สามารถตั้งรัฐบาลที่มาจากประชาชนได้ ในตอนแรกที่ตั้งโจทย์ให้ได้คะแนนเสียงเกิน 250 เสียง ประชาชนให้การสนับสนุน

นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว หัวหน้าพรรคเพื่อไทย

กระบวนการการเลือกนายกรัฐมนตรีในสภา การตั้งรัฐบาลไม่น่าจะเป็นประเด็น น่าจะเป็นที่ยอมรับของทุกฝ่าย แม้แต่ฝ่าย สว.ก็ตาม แต่ทำไปทำมาเริ่มไม่แน่ใจ เพราะสิ่งที่ได้ทำ กระแสเริ่มติด ทำให้มีความมั่นใจ การการประเมิน การเจาะลึก มีแนวโน้มที่จะเกิน 250 เสียง แต่แม้จะเกิน 250 เสียง จัดตั้งรัฐบาลไม่ได้ เลือกนายกรัฐมนตรีไม่ได้ มีปัญหากับประเทศอย่างมาก  


จึงเป็นแนวทางที่ต้องไปให้ถึง 310 เสียง ถ้าประชาชนต้องการจะไปสู่สิ่งที่ดีกว่า ก็ต้องร่วมมือกับพรรคเพื่อไทยเท่านั้น และถ้าจะให้สำเร็จจะทำอย่างไรให้สามารถตั้งรัฐบาลที่มากจากเสียงประชาชนให้เป็นเสียงข้างมากได้ มีนายกฯที่มาจากเสียงข้างมากได้ ตรงนั้นเป็นเป้าหมายสูงสุด  เมื่อถามว่า ตัวเลข 310 มาจากไหน เป็นตัวเลขที่ประเมินแล้วว่าเหมาะที่สุด เพื่อเป็นรัฐบาลที่เข้มแข็ง เพื่อให้สามารถสามรถจักตั้งรัฐบาลได้ ถ้าสามารถทำได้ถึง 260 เสียง 270 เสียง อีกประมาณ 40 กว่าเสียง จะสามารถไปถึงได้ไหม ก็สามารถที่จะเป็นไปได้

เพื่อไทยขอ 310 ปิดประตูจับมือ “ลุงป้อม”

 และถ้าทำได้จริงจะสามารถแก้ปัญหาที่กังวลได้ทั้งหมด จากความกังวลที่จะไม่สามารถมีรัฐบาลที่มาจากเสีบยงข้างมากของประชาชน เพราะคะแนน 310 เสียง จะเป็นแรงเหวี่ยงไปบอกกับ สว. จะเป็นแรงกดดันมากกว่า 250 เสียง และการจัดตั้งรัฐบาลเสียงข้างน้อยจะไม่เกิดขึ้น แม้จะมี 126 เสียง จะสามารถเลือกนายกฯได้ เป็นตัวเลขรวมกับสว. 250 เสียง เป็น 376 เสียง แต่รัฐบาลที่มีเสียง 190 เสียงอยู่ยาก  


แม้จะได้ตามที่หวัง 310 เสียง แต่การที่จะเลือกนายกรัฐมนตรีได้ต้องได้ 375 เสียง นพ.ชลน่าน พูดถึงแรงเหวี่ยงที่ 1คือ สว.เชื่อว่าถ้าเพื่อไทยมีคะแนนเสียงตามที่คาดหวัง เข้าใจว่าน่าจะมีความคิดที่ดี เพราะประชาชนมอบอำนาจให้อย่างชอบธรรม แต่ถ้าตรงนี้ไม่เกิดขึ้นตามการคาดการณ์ เพื่อไทยมีความมั่นใจว่า จำนวน 60 เสียงจะสามารถหาได้จากแนวร่วมพรรคการเมืองที่มาจากประชาชน คาดคะเนว่าแนวร่วมของเพื่อไทย จะได้จำนวนที่นั่ง 70 เสียงขึ้นไป แต่ยังมีความกังวลว่าถ้าเพื่อไทยได้ถึง 310 เสียง ก็เท่ากับไปทำลายพรรคแนวร่วมหมด แต่ถ้ามองการเมืองไทยคนที่มาใช้สิทธิการลงคะแนนเลือกตั้งไม่ได้มาใช้สิทธิ 100 %

ตอนนี้สถานการณ์มีฝ่ายอนุรักษ์นิยม กับ เสรีนิยม ฝั่งอนุรักษ์นิยม ยากที่จะเปลี่ยนฝ่าย ซึ่งแบ่งคร่าวๆ ฝ่ายละ 20 % แต่จุดเปลี่ยนจะอยู่ที่สัดส่วนที่เหลือ 60 % แนวคิดของเพื่อไทยคือมองว่าฐานเสียงเดิมยังอยู่ แสวงหาฐานเสียงใหม่ ยังมีกลุ่มคนที่ไม่ได้มีความชัดเจนว่าจะเลือกใคร การกำหนดเป้าหมายที่ชัด จะสามารถดึงเสียงที่ยังไม่ใช้สิทธิใช้เสียงเติมเต็ม ฐานเดิมก็ยังอยู่ กติกาที่เปลี่ยนก็อาจจะมีส่งผลบ้าง แต่ถ้าเพื่อไทยได้ 310 เสียงจะสร้างแรงเหวี่ยงขึ้นได้ ซีกประชาธิปไตยจับมือกันอีก 60 เสียง ก็สามารถเลือกนายกฯได้

เพื่อไทยขอ 310 ปิดประตูจับมือ “ลุงป้อม”
ต่อคำถามว่าแล้วถ้าสถานการณ์ไปไม่ถึง 310 เสียงจะทำอย่างไร นพ.ชลน่าน บอกว่า เป็นสิ่งที่ต้องคิดแก้ไข เพราะจะเป็นการบังคับให้มีการไปจับมือกับอีกฝ่ายหนึ่งที่ไม่มีความปราถนา  และเชื่อว่าประชาชนก็ไม่ต้องการเช่นเดียวกัน การไปจับมือกับพรรคการเมืองอื่นที่ประชาชนไม่ต้องการ จะไม่สามารถทำงานได้ ประชาชนก็ไม่ชอบ และจะเป็นการทำลายพรรคตัวเองไปในตัว จากเป็นกระแสนิยม เลือกตั้งคราวต่อไปจะไม่ได้คะแนน เพื่อแก้ปัญหานี้จึงต้องมุ่งเป้าหมายว่าต้องทำให้ได้ ถ้าเพื่อไทยไม่ได้ 310 เสียงจะเกิดการล็อกตายทางการเมืองสูงมาก  ไม่สามารถเลือกนายกรัฐมนตรีในสภาได้  

 

การจัดตั้งรัฐบาลเสียงข้างน้อยอีกฝ่ายต้องประเมินสถานการณ์ว่าจะไปรอดหรือไม่ ถ้าห่างกันไม่มากสถานการณ์ก็เรียกได้ว่ามีลุ้น แต่ถ้าห่างกันจำนวน 20-30 เสียงก็เป็นเรื่องยาก ที่สำคัญ ถ้าจัดตั้งรัฐบาล ต่อไปก็เป็นเรื่องการแถลงนโยบาย แต่เรื่องนี้ไม่มีปัญหาเพราะไม่มีการลงมติ หลังจากนั้นจะต้องนำกฎหมายสำคัญคือพ.ร.บ.งบประมาณเข้าสู่สภา ถ้างบประมาณไม่ผ่าน ก็ต้องมีการลาออก ยุบสภา แล้วก็เลือกตั้งใหม่ อีกฝ่ายต้องประเมินแล้วว่าการเลือกตั้งใหม่ โอกาสที่จะกลับมาอีกครั้งเป็นเรื่องที่ยากมาก การลาออกเพื่อไปจัดตั้งรัฐบาลใหม่ก็เป็นไปได้ แต่วิธีการนั้นจะทำให้ประเทศชาติเสียโอกาส

 

เชื่อว่าคงจะไม่ทำ แต่สิ่งที่จะสามารถทำได้คือการทำให้กลไกรัฐสภาเป็นง่อย เลือกนายกฯไม่ได้เดดล็อกทางการเมือง จะเลือกกี่ครั้งก็ไม่ถึง 376 เสียง หากสถานการณ์เป็นแบบนี้ก็ต้องเลือกไปเรื่อยๆ แบบไม่มีกำหนด มีระยะเวลา 2 ปี ตามอายุของ สว.ที่จะหมดวาระลงในปี 2567 รัฐบาลก็รักษาการไป ซึ่งอย่างน้อยก็ดีกว่าไปเลือกตั้งใหม่ ยังมีอำนาจอยู่ถึงแม้จะไม่เต็มที่ นี่คือการประเมินสถานณ์ที่สามารถเป็นไปได้ และเป็นเรื่องที่อันตรายต่อประเทศอย่างมาก ประเทศจะไม่ไปไหน ความเชื่อมั่น ความน่าเชื่อถือ การค้า การเจรจา การลงทุน ความไว้ใจ จากต่างประเทศจะไม่มี ประชาชนจะได้รับผลกระทบโดยตรง


ถ้ามองตามการประเมินของเพื่อไทย จึงเป็นช่องทางที่อาจจะนำมาซึ่งความจำเป็นในการจับมือกับฝ่ายอื่น เพื่อให้ประเทศเดินหน้าหรือไม่ นพ.ชลน่าน บอกว่าต้องเป็นความยินยอมจากประชาชน แต่จากการรับฟังความเห็นประชาชน บอกว่าไม่เอา ในการลงพื้นที่ ประชาชนถึงกับแสดงความเป็นห่วง ขอร้องอย่าไปร่วมกับพรรคการเมืองฝ่ายตรงข้าม ดังนั้นจึงต้องตั้งเป้าให้มีการจับมือกับประชาชนไปให้ถึงเป้าหมาย ลดข้อจำกัดเหล่านี้


ถ้าไปไม่ถึงตามหวัง แผนสองของเพื่อไทย นพ.ชลน่าน บอกว่าทุกฝ่ายก็ต้องมาร่วมกันคิดว่าจะทำอย่างไรต่อไป แต่ก็มีคนคิดแผนรอไว้แล้ว ด้วยการที่มีคนพยายามแสดงตัวเป็นโซ่ข้อกลาง ไม่อยู่ซีกใดซีกหนึ่ง และคนที่แสดงตัวชัดเจนในขณะนี้คือ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ดังนั้นจึงเป็นเรื่องที่จะต้องไปให้ถึงเป้าหมาย เพื่อให้มีอำนาจในการต่อรอง ทุกอย่างจึงอยู่ที่ประชาชน จะเอาแบบเดิมหรือไม่ แต่เท่าที่มองประชาชนอยากจะออกจากวิกฤตนี้แล้ว 8ปีที่ผ่านมา อยากจะมีอนาคตที่ดี บ้านเมืองจะได้ก้าวหน้าต่อ 


ในเรื่องของ 3 ป. นพ.ชลน่าน มองว่า 3 ป.เป็นเพียงแกนกลางของระบอบประยุทธ์ มีความเชื่อมโยงกับส่วนต่างๆเข้าไว้ด้วยกัน ถ้าทำลายส่วนกลางได้ แต่โครงข่ายยังอยู่ จึงต้องเน้นชัดที่ระบอบประยุทธ์ 

 

ในมุมที่มองแต่ละพรรคการเมือง นพ.ชลน่าน บอกว่า พรรคพลังประชารัฐ ถูกแบ่งเป็นอนุรักษ์นิยม และมีความพยายามจะมาเป็นฝ่ายประชาธิปไตย ตีความโดยนัยยะว่าอยู่ตรงกลาง แต่ยังมองว่าเป็นอนุรักษ์นิยม เป็นมาอย่างไรล้างภาพไม่ออก การเป็นอนุรักษ์นิยมไม่ผิด ระบอบประชาธิปไตยของไทย มีฝ่ายต่างๆ คนเจนXเป็นกลุ่มคนที่ไม่รู้ว่าจะอยู่ตรงไหน ซึ่งพลังประชารัฐกำลังเป็นอยู่ การจับมือกับใครก่อนเลือกตั้งไม่สมควรพูด เมื่อเข้าสู่การเลือกตั้งแล้ว เป็นอำนาจของประชาชนที่จะเลือกใคร

 

การไปพูดว่าจะจับมือกับใครเป็นการไม่ให้เกียรติประชาชน พอเลือกตั้งเสร็จแล้ว จะเป็นการแก้ไขสถานการณ์ภาวะวิกฤติ ในขณะนั้นจะทำอะไรให้ดีที่สุด ภายใต้เงื่อนไขที่มีอยู่ในขณะนั้น การจะจับมือกับพรรคต่างๆอะไรดีที่สุด การจะทำอะไรดีที่สุดให้ถามเจ้าของอำนาจที่แท้จริง คือ ประชาชน เพื่อไทยจะทำอะไรก็ต้องถามประชาชน ขนาดเลือกผู้สมัคร สส. ถ้าประชาชนไม่เห็นด้วยก็ไม่ส่งลงเลือกตั้ง แม้จะมีฐานเสียงเข้มแข็งในพื้นที่ พรรคก็ต้องให้เกียรติประชาชน 

ต่อคำถามที่ว่าหากเพื่อไทยเป็นแกนนำในกลุ่มที่สามรถจัดตั้งรัฐบาล แต่ไม่เอาเก้าอี้นายกรัฐมนตรี ประเด็นนี้มีโอกาสเกิดขึ้นได้หรือไม่ หัวหน้าพรรคเพื่อไทยตอบว่า เป็นเรื่องที่ยากมาก ถ้ามีการยอมในเรื่องนี้ จะเป็นการตระบัดสัตย์กับประชาชน ถ้ายอมทำแบบนั้น จะมาบริหารประเทศเพื่อใคร เพราะประชาชนเป็นคนเลือกมา การไปจับมือหรือไปทำแบบนั้นเป็นการฆ่าตัวตาย เท่ากับเพื่อไทยจะไม่เป็นสถาบันทางการเมือง ไม่เป็นพรรคการเมือง ถ้าคิดแบบนั้นก็สามารถจับมือได้

ประเด็นกลุ่มสามมิตร ที่ย้ายกลับมาจากพลังประชารัฐ นพ.ชลน่าน บอกว่า การไปรวมกันในจุดนั้น เป็นการพยายามรวบรวม เพื่อการสืบทอดอำนาจ ผ่านกลไกทางการเมืองเป็นพรรคเฉพาะกิจ ใช้การกดดันทางด้านกฎหมายไปดึงตัวมา หลายคนจึงต้องยอมเพื่อรักษาชีวิต สถานภาพ ครอบครัว องค์กรธุรกิจไว้ เมื่อเหตุผลเหล่านั้นหลุดออกไป จึงเป็นสิทธิที่สามารถจะทำในสิ่งที่อยากจะทำได้ 

ในเรื่องของพรรคก้าวไกลในฐานะเป็นฝ่ายค้านร่วมกัน นพ.ชลน่าน บอกว่า หลักการที่วางไว้แต่แรกจะผิดเพี้ยนไป ในเรื่อวที่มองกันว่ารักษาระยะห่างกับก้าวไกล ไม่ใช่การรักษาระยะห่าง การที่จะไปประกาศจับมือมันเป็นสิ่งที่ไม่ชอบ ส่วนที่ต้องประกาศไม่จับมือกับพลังประชารัฐ เป็นการแก้ไขสถานการณ์ทางการเมือง เพราะถ้าปล่อยให้ข่าวนี้ส่งต่อขยายออกไปเรื่อยๆ คนที่จะเลือกพรรคเพื่อไทยก็จะเกิดความลังเล จึงจำเป็นที่จะต้องประกาศให้ชัดเจน เพราะถ้าไม่แก้ไขจะส่งผลความเสียหายต่อพรรค 
 

logoline

ข่าวที่น่าสนใจ