
'เลือกตั้ง66' สร้างเม็ด 'เงินสะพัด' แสนล้าน
นักวิชาการเชื่อว่า ไตรมาสสองของปีนี้จะมี 'เงินสะพัด' นับแสนล้านบาท ผลพวงจากการ 'เลือกตั้ง66' สร้างความเชื่อมั่นทางเศรษฐกิจ
การประกาศกำหนดวันเลือกตั้งที่ชัดเจน นอกจากจะสร้างความเชื่อมั่นให้กับทุกภาคส่วนแล้ว ยังจะทำให้ไตรมาส 2 ของปีนี้ มีเงินสะพัดหมุนเวียนกว่าแสนบ้านบาท
ธนวรรธน์ พลวิชัย อธิการบดีมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย และประธานที่ปรึกษาศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย คาดว่าในช่วงที่มีการเลือกตั้ง66 จะมีเงินมาหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจ ประมาณ 50,000 ล้านบาท มีที่มาจากธุรกิจที่เกี่ยวกับกิจกรรมรณรงค์หาเสียงเลือกตั้ง เช่น ธุรกิจทำป้ายโฆษณาหาเสียง ซึ่งเงินเหล่านี้เป็นเงินหมุนเวียนเข้าสู่ระบบอย่างรวดเร็ว
การประกาศยุบสภาในเดือนมีนาคม และกำหนดวันเลือกตั้ง 7 พ.ค. 66 มีการตอบสนองในเชิงบวกจากตลาดหุ้นชัดเจน เพราะมีสถิติในอดีตว่า ระหว่างการเลือกตั้ง และหลังเลือกตั้ง66 ธุรกิจใดจะได้อนิสงส์ และความชัดเจนนี้เอง ทำให้นักลงทุนมีความเชื่อมั่น และสามารถวางแผนในการซื้อหุ้นได้มากขึ้น
อธิการบดีมหาวิทยาลัยหอการค้าไทยคาดหวังว่าหลังการเลือกตั้ง66 จะได้เห็น รัฐบาลที่ได้รับยอมรับจากประชาชน และมีเสถียรภาพ คัดเลือกคนมีประวัติดี มีความสามารถโดดเด่นเข้ามาทำงาน มีนโยบายในการดูแลเศรษฐกิจอย่างยั่งยืน เพื่อลดความเหลื่อมล้ำทางสังคม ทำให้เศรษฐกิจไทยขยายตัวได้ตามยุทธศาสตร์ชาติ ที่ 5% และต้องการให้รัฐบาลใหม่ขจัดปัญหาคอรัปชั่น อย่างเป็นรูปธรรม
สำหรับนโยบายที่รัฐบาลใหม่ ควรต้องทำ คือ ดันเศรษฐกิจไทยเติบโตสูง-ระยะยาว นโยบายเก่าของรัฐที่ผ่านมา ถ้าดี ก็ควรส่งเสริมหรือสานต่อ เตรียมแผนสำหรับรองรับ สังคมผู้สูงอายุ
มีนโยบายในการเพิ่มจำนวนประชากรให้เป็นบวก ลดความเหลื่อมล้ำ และขจัดคอรัปชั่น
ขณะที่นักวิชาการอาวุโส สถาบันเพื่อการพัฒนาประเทศ (TDRI) นณริฎ พิศลยบุตร มองว่าการเลือกตั้ง66 จะสร้างเม็ดเงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจเพิ่มขึ้นจากการเลือกตั้งครั้งที่ผ่านมาอย่างน้อย 15% หรือ 0.05% ของจีดีพี ซึ่งเม็ดเงินสะพัดส่วนนี้จะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจ และกระจายสู่พื้นที่ต่างๆทั่วประเทศ
โดยรัฐบาลหลังการเลือกตั้ง ระยะสั้นต้องเร่งแก้ปัญหาหนี้ครัวเรือน หนี้ภาคธุรกิจ ให้สามารถให้ระดับหนี้ให้กลับไปอยู่ช่วงก่อนโควิด ส่วนระยะยาวต้องดึงเศรษฐกิจไทยให้กลับมาเติบโตเทียบเคียงกับประเทศเพื่อนบ้าน เช่น อินโดนีเซีย มาเลเซีย และสิงคโปร์