ข่าว

คำพิพากษาฉบับเต็มตัดสิทธิรับเลือกตั้งตลอดชีวิต 'กนกวรรณ' รุกป่าเขาใหญ่

เกาะติดข่าวสาร >> คมชัดลึก ออนไลน์
logoline

เปิดคำพิพากษาฉบับเต็ม ศาลฎีกาตัดสิทธิตลอดชีวิตและตัดสิทธิเลือกตั้ง 10 ปี "กนกวรรณ วิลาวัลย์" อดีต รมช.ศึกษาธิการ ฝ่าฝืนจริยธรรมอย่างร้ายแรง กรณีรุกป่าเขาใหญ่

22 ก.พ.66 ศาลฎีกาพิพากษาคดีหมายเลขดำที่ คมจ. 2/2564 ให้นางกนกวรรณ วิลาวัลย์ พ้นจากตำแหน่ง รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ นับแต่วันที่ 26 ส.ค.2565 ที่ศาลสั่งให้หยุดปฏิบัติหน้าที่ บทลงโทษตามกฎหมายกรณีการฝ่าฝืน หรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง และให้เพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้งตลอดไป รวมถึงไม่มีสิทธิดำรงตำแหน่งทางการเมืองใด ๆ ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 235 (3) (4) และให้เพิกถอนสิทธิเลือกตั้ง 10 ปี นับแต่วันที่ 22 ก.พ.นี้ ที่ศาลมีคำพิพากษา

 

ป.ป.ช. ร้องศาล นางกนกวรรณ ฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง

 

คดีนี้ ป.ป.ช.ผู้ร้อง ได้ยื่นคำร้องสรุปว่า เมื่อวันที่ 14 ก.พ. 2545 นางกนกวรรณ วิลาวัลย์  ผู้คัดค้าน เรื่องการฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง  ดำเนินการขอออกโฉนดที่ดินในพื้นที่หมู่ที่ 15 ต.เนินหอม อ.เมืองปราจีนบุรี จ.ปราจีนบุรี เนื้อที่ 30-2 - 80.5 ไร่ โดยอ้างว่าซื้อที่ดินแปลงดังกล่าวมาจาก นายทิว มะลิซ้อน เมื่อปี 2533

 

แต่นายทิว ไม่มีตัวตน ทั้งไม่เคยมีการเข้าทำประโยชน์ในที่ดินที่อยู่ในเขตอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ และแนวเขตป่าไม้ถาวรป่าเขาใหญ่ ทำให้รัฐสูญเสียที่ดินในเขตอุทยานแห่งชาติให้แก่ผู้คัดค้าน การออกโฉนดที่ดินเลขที่ 41158 ต.เนินหอม อ.เมืองปราจีนบุรี จ.ปราจีนบุรี จึงมิชอบด้วยกฎหมาย และเป็นความเสียหายร้ายแรง ผู้คัดค้านยังคงยึดถือครอบครองที่ดินต่อเนื่องตลอดมาจนกระทั่งเข้าดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ

 

 

 

นางกนกวรรณ วิลาวัลย์ ถูกตัดสิทธิรับเลือกตั้งตลอดไป ปมรุกที่เขาใหญ่

 

 

ขอศาลสั่งนางกนกวรรณ หยุดปฏิบัติหน้าที่

 

ป.ป.ช.ผู้ร้อง จึงขอให้ศาลฎีกา มีคำพิพากษาหรือคำสั่งว่า ผู้คัดค้านฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง ให้ผู้คัดค้านหยุดปฏิบัติหน้าที่นับแต่วันที่ศาลฎีการับคำร้องจนกว่าจะมีคำพิพากษา ให้ผู้คัดค้านพ้นจากตำแหน่งนับแต่วันหยุดปฏิบัติหน้าที่ เพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้งของผู้คัดค้าน และเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งมีกำหนดเวลาไม่เกินสิบปี ตาม รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 มาตรา 235 พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 มาตรา 87 และมาตรฐานทางจริยธรรมของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ และผู้ดำรงตำแหน่งในองค์กรอิสระ รวมทั้งผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดิน และหัวหน้าหน่วยงานธุรการของศาลรัฐธรรมนูญและองค์กรอิสระ พ.ศ. 2561 ข้อ 8 และข้อ 11, 17 ประกอบข้อ 27

 

26 ส.ค.65 ศาลฎีกามีคำสั่งให้รับคำร้องของผู้ร้องไว้พิจารณาวินิจฉัย และมีคำสั่งให้ นางกนกวรรณ ผู้คัดค้านหยุดปฏิบัติหน้าที่จนกว่าจะมีคำพิพากษา ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 มาตรา 81 ประกอบมาตรา 87 วรรคสาม และระเบียบที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกาว่าด้วยการพิจารณาพิพากษาคดีเกี่ยวกับการฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง พ.ศ. 2561 ข้อ 12 วรรคสอง

 

ด้าน นางกนกวรรณ ผู้คัดค้านยื่นคำคัดค้านว่า ผู้คัดค้านให้ข้อมูลในการสอบสวนสิทธิผิดพลาดโดยแจ้งนามสกุลนายทิว เป็น มะลิซ้อน นายขอดและนางโม่ง ก่อสร้างทำประโยชน์ในที่ดินก่อนปี 2496 แล้วโอนต่อให้นายมี นายมีขายให้นายทิว แล้วนายทิวขายให้นายสุนทร จากนั้นนายสุนทรให้ผู้คัดค้านเข้าทำประโยชน์ แนวเขตอุทยานแห่งชาติที่ขีดครั้งที่ 3 โดยนายคณิต เพชรประดับ ทำไว้ถูกต้องแล้ว ผู้คัดค้านมีคุณสมบัติถูกต้องตามระเบียบและกฎหมาย ขอให้ยกคำร้อง 

 

 

 

นางกนกวรรณ ขณะดำรงตำแหน่ง รมช.ศึกษาธิการ

 

 

ต่อมาศาลฎีกาไต่สวนพยานผู้ร้องวันที่ 22,28 ธ.ค.65 กับไต่สวนพยานผู้คัดค้านวันที่ 10 ม.ค.2566 เสร็จสิ้นแล้วจึงนัดฟังคำพิพากษา
  
โดยในวันนี้ฝ่าย ป.ป.ช.ผู้ร้องเดินทางมาศาล ส่วนนางกนกวรรณ ไม่ได้มาฟังคำพิพากษาแต่ส่งทนายความมาฟังแทน

 

 

การกระทำของนางกนกวรรณ ไม่ขัดกันระหว่างประโยชน์ส่วนตนกับประโยชน์ส่วนรวม

 

ศาลฎีกาวินิจฉัยปัญหาแรกว่า ผู้คัดค้านซึ่งดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ กระทําการอันเป็นการขัดกันระหว่างประโยชน์ส่วนตนกับประโยชน์ส่วนรวม ตามมาตรฐานทางจริยธรรม ฯ ข้อ 11 ประกอบข้อ 27 วรรคสอง หรือไม่ เห็นว่า การกระทำอันเป็นการขัดกันระหว่างประโยชน์ส่วนตนกับประโยชน์ ส่วนรวมนั้น ต้องมีสถานการณ์หรือการกระทำที่บุคคลในองค์กรหรือหน่วยงานนั้น ๆ มีประโยชน์ส่วนตน อันอาจกระทบต่อการวินิจฉัยสั่งการหรือการใช้ดุลพินิจในการปฏิบัติงานตามอำนาจหน้าที่ในตำแหน่งของบุคคลนั้น โดยอาจเป็นอำนาจหน้าที่ในการกำกับ ดูแล ควบคุม หรือตรวจสอบในเรื่องที่ตนมีประโยชน์เกี่ยวข้อง เมื่อผู้คัดค้านไม่มีอำนาจหน้าที่โดยตรงในการกำกับ ดูแล ควบคุม หรือตรวจสอบการปฏิบัติงานของกรมที่ดิน กรมป่าไม้ และกรม อุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช จึงฟังไม่ได้ว่าการกระทำของผู้คัดค้านเป็นกระทำการอันเป็นการขัดกันระหว่างประโยชน์ส่วนตนกับประโยชน์ส่วนรวม ตามมาตรฐานทางจริยธรรม ฯ ข้อ 13ประกอบข้อ 27 วรรค สอง 

 

 

นางกนกวรรณ ขอออกโฉนดที่ดินโดยไม่มีคุณสมบัติตามกฎหมาย

 

ปัญหาต่อไปว่าผู้คัดค้านแสวงหาประโยชน์โดยมิชอบเพื่อตนเองอันถือว่ามีลักษณะร้ายแรง ตามมาตรฐาน ทางจริยธรรมฯ ข้อ 8 ประกอบข้อ27 วรรคหนึ่ง และผู้คัดค้านกระทำการที่ก่อให้เกิดความเสื่อมเสียต่อเกียรติศักดิ์ ของการดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ อันถือว่ามีลักษณะร้ายแรง ตามมาตรฐานทาง จริยธรรมฯ ข้อ 17ประกอบข้อ 27วรรคสอง หรือไม่ 

 

ผู้คัดค้านอ้างข้อความต่อเจ้าหน้าที่สอบสวนสิทธิว่า ผู้คัดค้านได้ที่ดินมาโดยการซื้อมาจากนายทิว มะลิซ้อน เมื่อปี 2533 และผู้คัดค้านทำประโยชน์ในที่ดินด้วยการทำสวน ปลูก มะม่วง กระท้อน และพืชตามฤดูกาลเต็มทั้งแปลง เห็นว่า ผู้คัดค้านให้การและเบิกความในชั้นไต่สวนว่า นายทิว มะลิทอง ขายที่ดินที่ครอบครองทำประโยชน์ให้นายสุนทร วิลาวัลย์ บิดาผู้คัดค้าน หลังจากนั้นนายสุนทรให้ผู้คัดค้านเข้าครอบครองทำประโยชน์ ซึ่งเท่ากับผู้คัดค้านยอมรับว่านายทิว มะลิซ้อน ไม่มีตัวตนอยู่จริง ผู้คัดค้านรู้อยู่แต่แรกแล้วว่า เจ้าของที่ดิน คือ นายทิว มะลิทอง และนายทิว ขายที่ดินให้นายสุนทร มิใช่ผู้คัดค้าน ผู้คัดค้านชอบที่ต้องแจ้ง ข้อมูลต่อเจ้าหน้าที่ให้ตรงต่อความจริงว่าผู้คัดค้านมิได้เป็นผู้ซื้อที่ดินมาด้วยตนเอง หากแต่นายสุนทรเป็นผู้ซื้อที่ดิน ที่ผู้คัดค้านเบิกความว่า ผู้คัดค้านครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินโดยปลูกต้นไผ่ตง ต้นกระพ้อ พืชผัก สวนครัว ต้นมะม่วง ต้นกระท้อน และพืชอื่นตามฤดูกาล เมื่อพิจารณาตามรายงานการวิเคราะห์ภาพถ่ายทาง อากาศบริเวณตำบลเนินหอม ที่ใช้ภาพถ่ายทางอากาศในปี 2496,2510 2516,2532,2546 เเละ2553
   

ประกอบสำรวจข้อมูลภาคสนามวันที่ 4 -6 เม.ย.65 ปรากฏว่าไม่พบการกระทำประโยชน์ใด ๆ ในพื้นที่มีสภาพเป็นป่ารกทึบ และหินโผล่ ซึ่งการตรวจสอบดังกล่าวมีนายธวัชชัย ศรีสมบูรณ์ ตัวแทนของผู้คัดค้านเข้าร่วมตรวจสอบที่ดิน ทั้งนักวิชาการแผนที่ภาพถ่ายเชี่ยวชาญ สำนักสำรวจด้านวิศวกรรม และธรณีวิทยา กรมชลประทาน เบิกความว่า ไม่พบร่องรอยการทำสวน ปลูกไม้ผล ในช่วงปีใด ๆ ทั้งสิ้น บ่งชี้ให้เห็น ว่าในช่วงระยะเวลาที่ผู้คัดค้านอ้างว่านายขอด นายมี นายทิว และตัวผู้คัดค้านเองครอบครองที่ดินต่อเนื่องกันมานั้น ที่ดินยังมิได้มีการเข้าทำประโยชน์เป็นหลักฐานมั่นคงและมีผลผลิตอันเป็นประโยชน์ในทางเศรษฐกิจ อันเป็นเงื่อนไขการ ออกโฉนดที่ดินตามข้อ 5 แห่งระเบียบของคณะกรรมการจัดที่ดินแห่งชาติ ฉบับที่ 12 ซึ่งสอดคล้องกับ คำเบิกความของนายหอมและนายทิวว่า สภาพที่ดินมีลักษณะเป็นหินกรวดผสมดินลูกรังบางส่วน และรายงานการ วิเคราะห์ภาพถ่ายทางอากาศและแผนที่ ที่ผู้คัดค้านอ้างก็ไม่ได้ระบุถึงต้นไผ่ ต้นกระพ้อ ต้นมะม่วง หรือต้นกระท้อน และการวิเคราะห์ภาพถ่ายทางอากาศกับการเดินสำรวจที่ดินไม่พบไม้แต่งล้อม ต้นไผ่ และต้นกระพ้อแต่อย่างใด ที่ผู้คัดค้านอ้างว่าได้ให้นายหอมทำประโยชน์ในที่ดินจึงรับฟังเป็นความจริงไม่ได้ 
   

ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า ขณะที่ผู้คัดค้านขอออกโฉนดที่ดิน ผู้คัดค้านไม่ได้ครอบครองทำ ประโยชน์ในที่ดิน ผู้คัดค้านจึงไม่ได้สิทธิครอบครองในที่ดิน การที่ผู้คัดค้านให้ถ้อยคำต่อเจ้าหน้าที่สอบสวนสิทธิว่า เมื่อปี 2533 ผู้คัดค้านซื้อที่ดินมาจากนายทิว โดยนายทิว สร้างมาเมื่อ ประมาณปี 2500 แล้วผู้คัดค้านครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินตลอดมา จึงฟังได้ว่าเป็นการให้ถ้อยคำเท็จ ผู้คัดค้านจึงมิใช่เป็นบุคคลที่มีคุณสมบัติที่ขอออกโฉนดที่ดินตามมาตรา 58ทวิ (3) แห่งประมวลกฎหมายที่ดินฯ การที่กรมที่ดินออกโฉนดที่ดินเลขที่ 43358 ให้ผู้คัดค้านจึงเป็นการไม่ชอบ เมื่อผู้คัดค้านขอออกโฉนดที่ดินโดยไม่มีคุณสมบัติตามกฎหมาย แล้วได้โฉนดที่ดิน และยังคงถือครองโฉนดที่ดินดังกล่าวมาจนถึงวันที่ผู้คัดค้านดำรงรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการตลอดมาจนถึง ปัจจุบันจึงเป็นการแสวงหาประโยชน์โดยมิชอบเพื่อตนเองตามมาตรฐานทางจริยธรรมฯ ข้อ 8 แล้ว และถือว่ามี ลักษณะร้ายแรงตามมาตรฐานทางจริยธรรมฯ ข้อ 27 วรรคหนึ่ง ทั้งการกระทำดังกล่าวส่งผลกระทบต่อ ภาพลักษณ์และเกิดความเสียหายต่อชื่อเสียงของผู้คัดค้านที่ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีช่วยว่าการ กระทรวงศึกษาธิการ แม้มิได้เป็นการใช้อำนาจหน้าที่ของตนโดยตรงก็ตามเพราะอาจทําให้สาธารณชนขาดความเชื่อถือศรัทธาต่อการดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการของผู้คัดค้าน จึงเป็นการก่อให้เกิด ความเสื่อมเสียต่อเกียรติศักดิ์ในการดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการด้วย 
  

 

 

การกระทำก่อให้เกิดความเสียหายร้ายแรงตามมาตรฐานทางจริยกรรม

 

เมื่อการกระทำดังกล่าวถือได้ว่าก่อให้เกิดความเสียหายอย่างร้ายแรงในการบังคับใช้ กฎหมาย จึงเป็นกรณีมีลักษณะร้ายแรงตามมาตรฐานทางจริยธรรมฯ ข้อ 27วรรคสอง พิพากษาว่า ผู้คัดค้านฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง ตามรัฐธรรมนูญ แห่งราชอาณาจักรไทย มาตรา 234วรรคหนึ่ง (1) วรรคสาม และวรรคสี่ ประกอบ พรป.ว่าด้วยการป้องกันปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561มาตรา 87 ประกอบมาตรา 81 และ มาตรฐานทางจริยธรรมฯ ข้อ 8ประกอบข้อ 27วรรคหนึ่ง และข้อ 17ประกอบข้อ 27วรรคสอง ให้ผู้คัดค้านพ้นจากตำแหน่งรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการนับแต่วันที่ 26 ส.ค.65 อันเป็นวันที่ศาลฎีกามีคำสั่ง ให้ผู้คัดค้านหยุดปฏิบัติหน้าที่ ให้เพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้งของผู้คัดค้านตลอดไป รวมถึงไม่มีสิทธิดำรงตำแหน่ง ทางการเมืองใด ๆ ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย มาตรา 235 วรรคสาม วรรคสี่ และเพิกถอนสิทธิ เลือกตั้งของผู้คัดค้านมีกำหนด 10 ปี นับแต่วันที่ศาลฎีกามีคำพิพากษา คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก

 

 

 

logoline

ข่าวที่น่าสนใจ