ข่าว

ประชุม "เอเปค" ในไทย ต้องได้ใจมากกว่า เวทีอาเซียน และ จี  20

ประชุม "เอเปค" ในไทย ต้องได้ใจมากกว่า เวทีอาเซียน และ จี 20

14 พ.ย. 2565

ประธานพรรค "สร้างอนาคตไทย" เตือนรัฐบาล ทำทุกทางให้ประเทศไทย ไม่ใช่ที่แวะกินข้าวของผู้นำ ที่เพิ่งผ่านเวทีอาเซียนและจี20 มา

สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ อดีตรองนายกรัฐมนตรีด้านเศรษฐกิจ และประธานพรรคสร้างอนาคตไทย ปาฐกถาพิเศษหัวข้อ "ความสัมพันธ์ไทย-จีน ในบริบทโลกที่เปลี่ยนไป" ที่โรงแรมรอยัล ออคิด เชอราตัน สี่พระยา ซึ่งจัดโดยสมาคมวิเทศพาณิชย์ไทย-จีน โดยมีนักธุรกิจไทยเชื้อสายจีนเข้าร่วมเป็นจำนวนมาก

 

สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ ประธานพรรคสร้างอนาคตไทย

 

สมคิดเล่าว่า เมื่อเข้าสู่เส้นทางการเมือง ก็เริ่มผูกมิตรกับจีน จนเกิดการตั้งคณะกรรมการความร่วมมือทางเศรษฐกิจไทย-จีน ซึ่งสลับกันเป็นเจ้าภาพจัดประชุมทุกปี แต่เมื่อตนพ้นจากตำแหน่งการประชุมคณะกรรมการดังกล่าวก็น้องลงมาก จนคนเริ่มไม่รู้จักกัน จวบจนกลับมาในรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ก็มาฟื้นคณะกรรมการฯ แต่ฝ่ายจีนเปลี่ยนตัวไปหลายคนแล้ว

 

 ขณะเดียวกันขอให้สานต่อโครงการรถไฟความเร็วสูง one belt one road ที่ยังทำกับจีนไม่จบประเทศไทย ควรเลิกเรื่องสีเสื้อ เลิกเล่นกีฬาสีได้แล้ว ตอนนี้อยู่บนทางแยก ถ้าทำไม่ดี ประเทศก็จะลง แต่ถ้าทำดีก็จะฟื้นขึ้นมา

 

สมคิดบอกว่า ในการประชุมสุดยอดอาเซียน สมเด็จฮุนเซนกลายเป็นพระเอก ที่พูดถึงอนุภูมิภาคนี้กำลังถึงทางแยกที่พบความไม่แน่นอนที่สุด ชีวิตคนเป็นล้านคนขึ้นอยู่กับวิสัยทัศน์ ปัญญาผู้นำในภูมิภาค พูดง่ายๆ คือชวนให้ผู้นำมาคุยกัน ประโยคนี้ไม่น่าใช่ฮุนเซนเป็นคนพูด แต่เพราะกำลังชิงความเป็นผู้นำอาเซียน และอีก 2-3 วัน ประธานาธิบดีโจโก วิโดโด จะเป็นประธานการประชุมจี20 เขาต้องสร้างภาพความเป็นผู้นำอาเซียนเช่นกัน

 

ในส่วนของประเทศไทยกำลังเป็นประธานจัดประชุมเอเปคในสัปดาห์นี้ กระทรวงการต่างประเทศต้องไปคิดข้อความให้ พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีของไทย พูดเพื่อให้เราไม่ตกรุ่นและชิงความเป็นผู้นำในอาเซียนกลับมา เพราะสมัยก่อนผู้นำอาเซียนคือ สิงคโปร์และไทย ตอนนี้ไทยต้องไม่หลุดแกนกลางของอาเซียน หากหลุดไทยก็จะหลุดในสายตาอเมริกาและจีน ดังนั้น ไม่ควรให้ทุกอย่างไคลแม็กซ์อยู่ที่กัมพูชาและอินโดนีเซีย โดยที่ผู้นำแค่แวะมากินข้าวที่ประเทศไทย

 

สิ่งที่มีความสำคัญกับประเทศไทยในอนาคต ไม่ใช่แค่เรื่องเศรษฐกิจ แต่เป็นความสัมพันธ์ไทย-จีน ในบริบทโลกที่เปลี่ยนแปลงไป ตามแบบพี่น้อง ซึ่งความสำเร็จเกิดขึ้นได้จนถึงวันนี้ เกิดจากความพยายามของคนรุ่นก่อนที่ช่วยกันสร้างและรักษาความสัมพันธ์เหล่านี้ให้แน่นแฟ้น ถ้าคนรุ่นต่อไปสามารถสานความสัมพันธ์นี้ต่อไปได้ก็จะมีคุณูปการสูงมากกับประเทศไทย

จีนเป็นคู่ค้าอันดับหนึ่งของไทย ขยับทีเป็นเรื่องใหญ่มาก ถ้าเราไม่ติดตามหรือกระชับความสัมพันธ์ หรือถ้าเราไม่มีความสำคัญในสายตาของจีน อนาคตเราอาจจะสู้เพื่อบ้านไม่ได้ พร้อมเล่าย้อนไปว่า ในปี 2518 ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช นายกฯ ในขณะนั้น เดินทางไปกระชับความสัมพันธ์ไทย-จีน ซึ่งเวลานั้นจีนคือคู่อริของไทย ไม่ใช่เพื่อนฝูงมาตั้งแต่มีการเปลี่ยนแปลงการปกครอง 2475

เพราะตอนนั้นเราอิงทางอเมริกาตลอด และอเมริกาถือว่าจีนเป็นคู่ต่อกรอันดับต้นๆ อเมริกาต่อต้านจีน ก็หมายความว่าประเทศเล็กๆทั้งหลายที่รับความช่วยเหลือและความสัมพันธ์กับอเมริกา ต้องเดินตามทั้งสิ้น แต่เมื่อ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ไปพบประธานาธิบดีจีน ถือเป็นการเปลี่ยนจากศัตรูเป็นมิตรทันที