ข่าว

แก้รธน.“จุดเสี่ยง”รัฐนาวา“มาร์ค”

แก้รธน.“จุดเสี่ยง”รัฐนาวา“มาร์ค”

21 ม.ค. 2553

ในที่สุด...ภาพเลือนรางในการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ก็ปรากฏชัดเจนขึ้น

 หลังจาก "แกนนำพรรคชาติไทยพัฒนา" ทั้งอยู่ "ต่อหน้า" และ "ลับหลัง" ต่างลุกขึ้นมา "ตีฆ้องร้องป่าว" ล็อบบี้ เดินสายขอแก้ไขรัฐธรรมนูญ 2 ประเด็น คือ

 1.ระบบการเลือกตั้ง ที่ขอแก้ด่วนจาก "รวมเขตเรียงเบอร์" เป็น "เขตเดียวเบอร์เดียว"
 2.มาตรา 190 เรื่องสนธิสัญญาที่ต้องเสียเวลาให้รัฐสภาอนุมัติก่อน

 พร้อมถือคติ “ด้านได้-อายอด” เมื่อสัญญาลูกผู้ชายสมัย “สุเทพ เทือกสุบรรณ-อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” เดินสายขอเสียง "พรรคเล็ก-พรรคน้อย" ให้ร่วมรัฐบาลไม่เป็นผล-ถูกฉีกทิ้ง

 เพราะพรรคแกนนำใหญ่อย่าง "ประชาธิปัตย์" ไม่เอาด้วย ยื้อจนหยดสุดท้าย ขอเวลาหารือกันในการสัมมนาพรรคที่กระบี่ เสาร์-อาทิตย์นี้ ก่อนตัดสินใจหนุน ไม่หนุนแก้ไขรัฐธรรมนูญ แล้วแจ้งให้พรรคร่วมทราบ

 ทำเอา “บรรหาร ศิลปอาชา” นอมินีตัวจริง นิ่งไม่ไหว ทุบโต๊ะนัดก๊วนเก่า สร้างภาพการเมือง 3 วันติด

 ทำรายการสร้างแรงกระเพื่อมแบบ “ชทพ.พบแกนนำพรรคร่วม” ทันที

 โดยงานแรก นำโดย “บรรหาร-เนวิน” จับมือสอดประสาน เดินหน้าแก้รัฐธรรมนูญ+ผนึกกำลังเป็นหนึ่งเดียว ที่โรงแรมสยามซิตี

 อีกวันเดินสาย "ดินเนอร์ทอล์ก" กับแกนนำ "เพื่อแผ่นดิน" ที่โรงแรมพลาซ่า แอทธินี

 และวันที่ 25 มกราคม ร่วมอาหารมื้อเที่ยงกับบรรดาแกนนำพรรครวมใจไทยชาติพัฒนากับพรรคกิจสังคม

 ซ้ำเดินเกมส่งทีมเจรจา แกนนำพรรคประชาราช พรรคมาตุภูมิ ขอเสียง-ลายเซ็น 95 เสียง ยื่นญัตติแก้ไขรัฐธรรมนูญก่อน

 เพราะอดีตที่ผ่านมา แม้จะมีการต่อสาย ปิดห้องหารือกันหลายต่อหลายครั้ง ระหว่างแกนนำพรรคชาติไทยพัฒนา-ภูมิใจไทย-เพื่อแผ่นดิน-กิจสังคม-รวมใจไทยชาติพัฒนา

 รวมถึงเชิญ "แกนนำพรรคประชาธิปัตย์" มาร่วมด้วยเป็นบางโอกาส แต่ยังเลือนราง เพราะพรรคประชาธิปัตย์ไม่เล่นด้วย อ้าง ส.ส.พรรคไม่เอา ไม่ยอมแก้ไขรัฐธรรมนูญท่าเดียว

 จนล่าสุด เมื่อความชัดเจนไม่มี ความดีไม่เคยปรากฏ

 ภาพการเดินสาย "สุมหัว" ของบรรดาพรรคร่วมรัฐบาลทั้งหมดจึงเกิดขึ้น แม้จะมีข้ออ้างและเสียงออกมาจากเหล่าหัวหน้าพรรคว่า “การพบกันครั้งนี้ไม่มีนัยอะไร แค่หารือเรื่องการแก้รัฐธรรมนูญธรรมดาๆ”

 แต่งานนี้เรียกได้ว่า "เป็นความธรรมดา ที่ไม่ธรรมดา" แม้จะมีการอ้างว่า การแก้ไขรัฐธรรมนูญเป็นเรื่องของฝ่ายรัฐสภา ไม่เกี่ยวกับฝ่ายบริหารก็ตาม

 ซ้ำยกคำพูด “อภิสิทธิ์” ที่กล่าวว่า ให้เป็นเรื่องรัฐสภาตัดสิน

 แต่ภาพที่ออกมาที่โรงแรมสยามซิตี ในคำประกาศของ “ชุมพล ศิลปอาชา” หัวหน้าพรรคชาติไทยพัฒนา ล้วนมีนัยสำคัญ

 "ความร่วมมือของ 2 พรรคที่จะดำเนินการต่อไปทั้งปัจจุบันและอนาคต และยืนยันจุดยืนว่า จะทำกิจกรรมร่วมกันโดยไม่มีการแยกจากกัน โดยเฉพาะในอนาคต ไม่ว่าจะมีการเลือกตั้งเมื่อไหร่ก็ตาม 2 พรรคจะร่วมมือกัน ประสานร่วมเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันต่อไป”

 ซึ่งชัดเจน สำหรับถ้อยคำแถลงของทั้ง 2 พรรคที่ว่า จะร่วมมือกันจนหยดสุดท้าย

 เรียกได้ว่า ทำเอาพรรคประชาธิปัตย์ต้องหนาวๆ ร้อนๆ เพราะถือเป็นประกาศิตสุดท้ายของเหล่าบรรดา "พรรคร่วมรัฐบาล"

 และหากรวมเสียง พรรคชาติไทยพัฒนา 25 เสียง พรรคเพื่อแผ่นดิน 32 เสียง พรรคภูมิใจไทย 32 เสียง พรรครวมใจไทยชาติพัฒนา 9 เสียง พรรคกิจสังคม 5 เสียง พรรคประชาราช 8 เสียง และพรรคมาตุภูมิ 3 เสียง รวมเบื้องต้น 114 เสียง

 เสียงขนาดนี้ พรรคประชาธิปัตย์ย่อมรู้อยู่ว่าไม่ธรรมดา

 ซ้ำมีเสียงกระเส็นกระสายอีกว่า การเดินสายครั้งนี้ เพื่อส่งสัญญาณให้พรรคประชาธิปัตย์คิดให้ดี

 เพราะอย่าลืมว่า การยื่นอภิปรายซักฟอกรัฐบาลประชาธิปัตย์ของพรรคเพื่อไทยครั้งนี้ ถือเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญ

 งานนี้ดีไม่ดี "พลิกโผ" พรรคร่วมรัฐบาลยกโหวตสวนไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีของพรรคประชาธิปัตย์แบบเป็น "แพ็ก" จะเล่นเอาหงายกันทั้งสภาและอ่วมอรทัยไปตามๆ กัน

 ซ้ำยังมีกระแสข่าวสำทับอีกว่า หากพรรคประชาธิปัตย์ไม่ร่วมแก้รัฐธรรมนูญ พรรคร่วมรัฐบาลจะไม่ลงมติไว้วางใจ “อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ" นายกฯ “แน่นอน"

 มรสุมครั้งนี้จึงถือว่าหนักเอาการ สำหรับ “รัฐนาวาของอภิสิทธิ์” ที่ต้องฝ่ามรสุมไปให้ได้

 ถือเป็นเกมวัดใจ “อภิสิทธิ์-สุเทพ” จะยอมให้พรรคร่วมรัฐบาล-พรรคเพื่อไทย ขี่คอขย่มจนรัฐบาลสั่นคลอนหรือไม่

 นาทีนี้จึงถือเป็น “จุดเสี่ยง” และ “วัดภาวะผู้นำ” ของคนที่ชื่อ “อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” อีกครั้ง ว่าจะทำเพื่อใคร?

** เณริศา เนยเขียว**