ข่าว

สาละวันเตี้ยลง

สาละวันเตี้ยลง

28 มี.ค. 2557

สาละวันเตี้ยลง : วันเว้นวันจันทร์ พุธ ศุกร์กับประภัสสร เสวิกุล

           ผมเพิ่งกลับจากประเทศอินโดนีเซียมาครับ หลังจากเดินทางไปร่วมงาน “วรรณกรรมอาเซียน 2014” ที่กรุงจาการ์ตา งานนี้จัดขึ้นเป็นครั้งแรก โดยผู้จัดงานได้รับความสนับสนุนจากกระทรวงการต่างประเทศของอินโดนีเซีย และแฟรงก์เฟิร์ตบุ๊กส์แฟร์ของเยอรมัน ทั้งนี้ ได้เชิญนักเขียน กวี นักเขียนบทละคร ฯลฯ จากประเทศสมาชิกอาเซียน และประเทศต่างๆ รวม 16 ประเทศมาร่วมงาน

           ผมคงไม่เล่าถึงเรื่องงาน “วรรณกรรมอาเซียน 2014” หรอกนะครับ แต่อยากจะพูดถึงกรุงจาการ์ตามากกว่า ผมไปเมืองหลวงของอินโดนีเซียแห่งนี้ ครั้งสุดท้ายเมื่อ 5 ปีที่แล้ว ถ้าเป็นภาษาลิเกก็ต้องว่า เวลาผ่านไปไวเหมือนโกหก เพราะตลอดระยะเวลา 5 ปีที่ผ่านมา ผมเดินทางไปไหนต่อไหนแทบไม่ได้หยุด แต่ไม่มีโอกาสกลับไปอินโดนีเซียอีกเลย จนกระทั่งคราวนี้จำได้ว่า เมื่อไปครั้งที่แล้ว ซูซิโล บัมบัง ยุดโดโยโน เพิ่งชนะการเลือกตั้ง ได้ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีเป็นสมัยที่สอง ผมยังมีโอกาสได้ไปร่วมงานฉลองตำแหน่งของท่าน

           ตอนนั้น คนที่ไปด้วยบอกว่า สภาพโดยทั่วไปของจาการ์ตาดีขึ้นกว่าเมื่อก่อนมาก เพราะย้อนหลังไปสัก 20 กว่าปีก่อน จาการ์ตายังเต็มไปด้วยสลัม ความสกปรก ไม่มีระเบียบ คนจนในตัวเมืองและคนต่างจังหวัดที่หนีความอดอยากเข้ามาคลั่กกันอยู่ในเมืองหลวง ส่วนใหญ่ก็ไม่มีอาชีพเป็นเรื่องเป็นราว แต่เมื่อบัมบังเป็นประธานาธิบดีสมัยแรก ได้พยายามแก้ไขปัญหาการเมือง และเศรษฐกิจ ซึ่งเป็นปัญหาใหญ่และยืดเยื้อของอินโดนีเซียให้ลุล่วงไปได้ในระดับหนึ่ง เมื่อผมไปคราวก่อนจึงเห็นพัฒนาการของกรุงจาการ์ตาที่ดีขึ้นกว่าในอดีต สลัมในตัวเมืองลดน้อยลงหรือร่นไปอยู่แถบชานเมือง คืนพื้นที่ให้กลายเป็นตึกรามทันสมัย บ้านเมืองสะอาดสะอ้านขึ้น

           ไปอินโดนีเซียครั้งนี้ โดยบังเอิญก็เป็นเวลาที่ ประธานาธิบดีบัมบัง ครบวาระของการอยู่ในตำแหน่งเป็นสมัยที่สอง และจะมีการเลือกตั้งประธานาธิบดีคนใหม่ในเดือนหน้า เนื่องจากตามรัฐธรรมนูญของอินโดนีเซียกำหนดให้ประธานาธิบดีมีวาระครั้งละ 5 ปี และดำรงตำแหน่งได้ไม่เกิน 2 สมัย อย่างไรก็ตาม จาการ์ตาในวันนี้เติบโตอย่างผิดหูผิดตา อาคารขนาดใหญ่เกิดขึ้นราวกับดอกเห็ด ใครที่เคยบ่นว่าจาการ์ตาเต็มไปด้วยสลัมที่รกตา คงต้องเปลี่ยนคำพูดใหม่ว่า ตอนนี้จาการ์ตาเต็มไปด้วยตึกระฟ้าจนรกฟ้า และศูนย์การค้าขนาดใหญ่มากมาย ว่ากันว่าถนนสายสำคัญบางสายมีศูนย์การค้าถึง 14-15 แห่ง จนผู้ว่าราชการกรุงจาการ์ตาต้องออกกฎเหล็กห้ามสร้างศูนย์การค้าในจาการ์ตาเพิ่มอีก

           ปัจจัยสำคัญที่ทำให้อินโดนีเซียก้าวมาไกลมากจากวันวาน ก็เพราะการเมืองที่มีเสถียรภาพ เมื่อการเมืองมีเสถียรภาพ การค้าและการลงทุนก็ตามมา ทำให้เศรษฐกิจดีขึ้น และส่งผลไปถึงภาคสังคมด้วย มีคนบอกผมว่า จริงๆ แล้ว อินโดนีเซียมีคนที่มีฐานะระดับเศรษฐีอยู่ประมาณ 3 เปอร์เซ็นต์เท่านั้น แต่เนื่องจากอินโดนีเซียมีประชากรในราว 250 ล้านคน ดังนั้นจึงมีเศรษฐีประมาณ 7.5 ล้านคน ซึ่งเป็นตัวเลขที่ไม่น้อย นอกจากนี้นโยบายกระจายรายได้ก็ทำให้อินโดนีเซียมีคนชั้นกลางเพิ่มขึ้น

           ซึ่งคนชั้นกลางเหล่านี้คือพลังสำคัญทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม และความมั่นคงของประเทศ นอกจากนี้การอยู่ในตำแหน่งผู้นำประเทศติดต่อกันเป็นระยะเวลานานถึง 10 ปี และการมุ่งมั่นทุ่มเทพัฒนาประเทศอย่างจริงจังของประธานาธิบดีบัมบัง ก็ทำให้สามารถดำเนินนโยบายต่างๆ ได้อย่างต่อเนื่องและมีประสิทธิภาพ

           ไม่น่าประหลาดใจหรอกครับ ที่เวลานี้อินโดนีเซียกลายเป็นแหล่งลงทุนที่สำคัญในภูมิภาคอาเซียนของนักลงทุนต่างชาติ เพราะมีความพร้อมทั้งทรัพยากร แรงงานราคาต่ำ ความมั่นคงทางการเมือง รวมทั้งตลาดขนาดใหญ่ภายในประเทศ และก็ไม่น่าประหลาดใจ หากอินโดนีเซียจะก้าวขึ้นมาเรียงลำดับไหล่ต่อจากสิงคโปร์ และมาเลเซีย ในอนาคตอันใกล้

           แต่ที่น่าประหลาดใจก็คือ การที่ประเทศไทยของเราทำตัวเป็นสาละวันเตี้ยลงเรื่อยๆ ต่างหากครับ