"ผศ.ดร.ธรณ์" เผยเหตุผลห้ามนำครีมกันแดดเข้าอุทยานฯ จำกัดสารเคมีบางประเภท ขณะที่ผู้ผลิตครีมกันแดดปรับตัวแล้ว
"ห้ามนำครีมกันแดดเข้าอุทยาน" กลายเป็นประเด็นกล่าวถึงอย่างกว้างขวาง ไม่ให้นำครีมกันแดดเข้าอุทยาน เพราะเหตุใด หรือมีครีมกันแดดประเภทใดบ้างที่สามารถนำเข้าอุทยานฯได้ หลากหลายคำถาม ชวนให้ คมชัดลึกออนไลน์ ต้องขอสอบถาม ผศ.ดร.ธรณ์ ธำรงนาวาสวัสดิ์ นักวิชาการด้านทะเลและสิ่งแวดล้อม
ผศ.ดร.ธรณ์ ธำรงนาวาสวัสดิ์ เปิดเผยว่า กรณีราชกิจจานุเบกษา ออกประกาศกรมอุทยานสัตว์ป่า และพันธุ์พืช ห้ามนำและใช้ครีมกันแดดที่มีส่วนผสมของสารเคมีที่อาจทำให้เกิดอันตรายต่อปะการังในพื้นที่อุทยานแห่งชาติ เดิมมีการศึกษาทั่วโลกพบว่า สารเคมีบางชนิดในครีมกันแดด ส่งผลต่อปะการัง เช่น ทำให้ปะการังฟอกขาวง่ายขึ้น ส่งผลต่อการเจริญเติบโตและการสืบพันธุ์ ฯลฯ
นอกจากนี้ NOAA ซึ่งเป็นองค์กรหลักทางทะเลของประเทศสหรัฐอเมริกา ยังระบุถึงผลกระทบที่มีต่อสัตว์น้ำอื่นๆ ทำให้ต่างประเทศ ได้ออกมาตรการเข้มงวดเกี่ยวกับการใช้ครีมกันแดดที่องค์ประกอบของสารเคมีบางชนิดเข้าไปในพื้นที่ทางทะเล เพื่อร่วมกันอนุรักษ์ทรัพยากรสิ่งแวดล้อม เช่น ที่ ฮาวาย ปาเลา bonaire ฯลฯ
ขณะเดียวกัน ผู้ผลิตครีมกันแดดได้ให้ความร่วมมือ ร่วมกันอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โดยจะมีการติดฉลากให้รับรู้โดยทั่วกันว่าครีมกันแดดชนิดนั้นๆ ไม่มีสารเคมีประเภทนั้นประเภทนี้ ซึ่งเป็นอันตรายต่อทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
ในส่วนของประเทศไทย ก็ได้มีการตอบรับ โดยได้มีการหารือกันมาหลายปีแล้ว และเริ่มรณรงค์มาใช้ครีมกันแดดที่ผลกระทบต่อปะการัง ในบางพื้นที่ เช่น หมู่เกาะสิมิลัน ในช่วงก่อนเกิดการระบาดโควิด-19 ระลอกแรกๆ
"การที่กรมอุทยานฯ ได้ออกเป็นประกาศลงราชกิจจานุเบกษา และมีผลบังคับใช้อย่างเป็นทางการในช่วงนี้ถือเป็นโอกาสดีเพราะเป็นช่วงที่ประเทศเผชิญสถานการณ์โควิด ไม่มีนักท่องเที่ยวจำนวนมาก บรรดานักเที่ยวก็จะได้รับทราบข้อมูลข่าวสารในส่วนนี้เพื่อเป็นการปรับตัวในการเข้าพื้นที่อุทยานฯต่อไป" ผศ.ดร.ธรณ์ กล่าว
อย่างไรก็ตาม การกำหนดชนิดครีมกันแดดห้ามเข้าอุทยานฯจะสร้างความสับสนหรือไม่ ผศ.ดร.ธรณ์ กล่าวว่า ขณะนี้ผู้ผลิตครีมกันแดดส่วนใหญ่จะมีการอธิบายเกี่ยวกับตัวสารเคมีไว้แล้วเช่นกัน ว่า เป็นครีมกันแดดที่สามารถนำเข้าไปใช้ในอุทยานได้หรือไม่ ฉะนั้นการจะไปแบนครีมกันแดด หรือทำไมไม่ห้ามตั้งแต่ผู้ผลิต คงต้องตอบว่าอุทยานไม่มีอำนาจ ซึ่งก็เป็นในลักษณะเดียวกับหลายประเทศที่ห้ามเฉพาะพื้นที่ เช่น อเมริกาแต่ในอนาคต เมื่อโลกมีเทรนด์มาแนวนี้ ผู้ผลิตย่อมต้องหาทางออก และผลิตของที่ไม่รบกวนมากขึ้น
ผศ.ดร.ธรณ์ กล่าวด้วยว่า หลังจากมีการประกาศห้ามครีมกันแดดเข้าพื้นที่อุทยานฯอย่างเป็นทางการแล้วขั้นตอนต่อไป ต้องติดตามฟังจากอุทยาน จะดูแลเข้มงวดอย่างไร อย่างไรก็ตาม เมื่อมีการประกาศห้าม คงต้องเริ่มหาทางปรับตัว
"กรมอุทยานควรช่วยอำนวยความสะดวกให้ผู้ประกอบการและนักท่องเที่ยว ตรวจสอบและระบุยี่ห้อหรือติดป้ายให้คนทราบทั่วกันว่า ยี่ห้อไหนอย่างไรที่สามารถนำไปใช้ในพื้นที่ได้ " ผศ.ดร.ธรณ์ กล่าว
ผศ.ดร.ธรณ์ กล่าวว่า กรมอุทยานฯคงต้องเร่งประชาสัมพันธ์ในช่วงนี้ เพราะเป็นช่วงนี้นักท่องเที่ยวน้อยมาก โดยส่วนกลางประสานหน่วยงานอื่น/จัดจ้างตรวจสอบ จากนั้นส่งข้อมูลให้ทราบทั่วถึงกันทุกอุทยาน เพื่อแจ้งให้ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องจะได้ปฏิบัติตามกฎหมายได้
ก่อนหน้านี้ เมื่อวันที่ 3 สิงหาคม 64 ราชกิจจานุเบกษา เผยแพร่ ประกาศกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช เรื่อง ห้ามนำและใช้ครีมกันแดดที่มีส่วนประกอบของสารเคมีที่เป็นอันตรายต่อปะการังเข้าไปในอุทยานแห่งชาติ
โดยมีเนื้อหาว่า ด้วยในปัจจุบันมีนักท่องเที่ยวเข้าไปท่องเที่ยวในอุทยานแห่งชาติทางทะเลเป็นจำนวนมาก รวมทั้งมีการนำและใช้ครีมกันแดดที่มีสารเคมีที่เป็นอันตรายต่อปะการังเข้าไปในอุทยานแห่งชาติ
โดยจากข้อมูลทางวิชาการพบว่าสารเคมีหลายชนิดที่พบในครีมกันแดด มีส่วนทำให้ปะการังเสื่อมโทรมลง เนื่องจากสารเคมีเหล่านั้นทำลายตัวอ่อนปะการัง ขัดขวางระบบสืบพันธุ์ และทำให้ปะการังฟอกขาว
กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช พิจารณาแล้ว เพื่อเป็นการสงวน อนุรักษ์ คุ้มครองดูแลรักษาทรัพยากรธรรมชาติ และป้องกันไม่ให้เกิดความเสียหายต่อปะการังและระบบนิเวศ ในอุทยานแห่งชาติ
อาศัยอำนาจตามความในมาตรา 20 แห่งพระราชบัญญัติอุทยานแห่งชาติ พ.ศ. 2562 ประกอบข้อ 6 ของระเบียบกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช ว่าด้วยการเข้าไป ในอุทยานแห่งชาติ พ.ศ. 2563 และมาตรา 32 แห่งพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ. 2534 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน (ฉบับที่ 5) พ.ศ. 2545 จึงออกประกาศ ดังนี้
1. ห้ามนำและใช้ครีมกันแดดที่มีส่วนประกอบของสารเคมีที่เป็นอันตรายต่อปะการังเข้าไป ในอุทยานแห่งชาติ ได้แก่ Oxybenzone (Benzophenone-3, BP-3), Octinoxate (Ethylhexyl methoxycinnamate), 4-Methylbenzylid Camphor (4MBC) และ Butylparaben
หากผู้ใดฝ่าฝืน มีความผิดตามมาตรา 20 ประกอบมาตรา 47 แห่งพระราชบัญญัติอุทยานแห่งชาติ พ.ศ. 2562 ต้องระวางโทษปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท
2. ประกาศฉบับนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป
ข่าวที่เกี่ยวข้อง