"ณัฏฐพล" มั่นใจ ตั้งคนสนิทเป็นเลขาฯ สกสค. เป็นไปตาม ระเบียบ-กฎหมาย ลั่น ตั้งข้าราชการการเมือง ไม่ใช่มีอำนาจเหนือ ข้าราชการประจำ แต่เป็นการบูรณาการการศึกษา แจง ปมค่าอาหารกลางวัน 21 บาท เหตุเป็นภาระสำนักงบเพิ่ม 3,000 ล้าน
เมื่อวันที่ 18 ก.พ.2564 นายณัฏฐพล ทีปสุวรรณ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ชี้แจงถึงกรณีข้อกล่าวหา แต่งตั้งพวกพ้องเป็นเลขาธิการ สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมสวัสดิการและสวัสดิภาพครูและบุคลากรทางการศึกษาหรือ สกสค. โดยระบุว่า กระทรวงศึกษาธิการแตกต่างจากกระทรวงอื่นๆ มีผู้ดำรงตำแหน่งเทียบเท่าปลัดกระทรวง หรือ C11 โดยเหตุการณ์ทั้งหมดเกิดขึ้นในปี 2546 สมัยนายทักษิณ ชินวัตร เป็นนายกรัฐมนตรี ซึ่งถือเป็นการกระจายอำนาจในกระทรวงศึกษาธิการ โดยแบ่งเป็น การศึกษาขั้นพื้นฐาน หน่วยงานอาชีวะ สภาการศึกษา และการอุดมศึกษา ซึ่งจากการแบ่งออกเป็น 4 หน่วยงานและมีทั้งข้อดีและข้อเสีย ซึ่งหน่วยงานไม่มีความเป็นเอกภาพในภาคกระทรวงศึกษาธิการ ไม่สามารถเชื่อมโยงการทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ และตนขอยืนยันว่าใน4หน่วยงาน และสำนักปลัด มีความเป็นเอกภาพในส่วนของผู้บริหารระดับสูง ซึ่งต้องเลิกรับข้อมูลจากผู้ที่ไม่ได้ประโยชน์แต่รับผลประโยชน์ตรงนี้ไม่ได้แล้ว
ทั้งนี้นายณัฏฐพล อธิบายถึงองค์การค้าในสังกัด สกสค. ว่า มีการโอนทรัพย์สินมาอยู่ในสกสค. โดยหากเทียบราคาตลาดในทรัพย์สินก็มีหลายพันล้าน แต่ขณะเดียวกันองค์การค้าก็มีการขาดทุนอย่างต่อเนื่อง และวันนี้มีการขาดทุนทั้งสิ้น 7 พันล้าน ซึ่งพ.ร.บ.การศึกษา 2542 ทำให้มีการเปิดเสรีในการพิมพ์หนังสือ ทำให้สกสค.มีการขาดทุนอย่างต่อเนื่อง ซึ่งจะมีความเกี่ยวโยงกับผู้ที่อภิปรายได้กล่าวถึง และกล่าวว่าจะปล่อยให้องค์การค้านั้นขาดทุนอย่างต่อเนื่องไม่ได้ จึงต้องมีการปรับทิศทางการดำเนินการขององค์กร จะเห็นชัดเจนว่าบุคลากรที่อยู่ในองค์การค้ามีมากเกินปริมาณของงาน มีการปรับโครงสร้างองค์กร ซึ่งสามารถลดค่าใช้จ่ายเหลือเพียง 97 ล้านบาท โดยองค์การค้าได้ชำระเงินคืนให้ สกสค.ตั้งแต่เดือนสิงหาคม 2563 ถึงเดือนกุมภาพันธ์ 2564 จำนวน 493 ล้านบาทเศษ ซึ่งสะท้อนให้เห็นการจัดการองค์กรดีขึ้น โดยหากปล่อยเอาไว้จะขาดทุนกว่าหมื่นล้านในอีก 4 ปีข้างหน้า
พร้อมกับอธิบายว่าการแก้ไขปัญหาองค์การค้าสกสค. เป็นผลงานของ นายธนพร สมศรี จึงมีความเหมะสมในการขับเคลื่อนองค์การค้าและสกสค.
ส่วนที่บอกว่ามีการประกาศสรรหาเลขาฯคุรุสภาฯและการสรรหา สกสค. ต้องประกาศในราชกิจจานุเบกษาหรือไม่นั้นตนได้พยายามที่จะกฤษฎีกา และกฤษฎีกามีหนังสือตอบกลับมา ไม่ต้องประกาศในราชการเนื่องจากเป็นการปฏิบัติตามประกาศของคสช. ไม่ใช่ตามพ.ร.บ.ครูและบุคลากรทางการศึกษา เช่นเดียวกับ การสรรหาเลขาฯสกสค.ไม่ต่างกับเลขาฯคุรุสภา ส่วนประเด็นอื่นที่เกี่ยวข้องกับนายธนพรสมศรี เป็นรองเลขาสกสค. ส่วนกระบวนการไปเป็นรองเลขามีการพูดคุยกันอย่างไร ขอให้ไปถามนายดิศกุล เกษมสวัสดิ์ อดีตเลขาสกสค.
ส่วนเรื่องผลประโยชน์หรือข้อทุจริตในการบริหารจัดการสกสค.จะส่งเรื่องไปยังศาลยุติธรรม หรือกระบวนการยุติธรรมอะไรตนก็ยินดีเพราะตนมั่นใจว่ากระบวนการสรรหาทั้งหมดอยู่ในระเบียบ กฎหมาย ส่วนจะโยงว่ามีวันนี้เพราะครูให้หรืออะไร ก็บอกชัดเจนอยู่ในเอกสารที่อภิปรายพ่อแม่ญาติพี่น้องเขาเป็นครู แล้วเกี่ยวอะไรกับตน พร้อมถามกลับว่าวันนี้ต้องการบริหารจัดการสกสค เพื่อให้เงินทั้งหมดกลับมาอยู่ในมือของครู
ส่วนเรื่องการทุจริตต่างๆใน สกสค. ก็ยังติดตามกันอยู่ ซึ่งทั้งหมดเกิดขึ้นก่อนปี 2557 พร้อมขอให้ตรวจสอบวันนี้ว่ามีกระบวนการทุจริตนำเงินครูและบุคลากรทางการศึกษาในช่วงปีครึ่งที่ผ่านมาหรือไม่ หากหาได้ตนยินดีที่จะเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม แต่ตนยืนยันว่าไม่มี เพราะต้องการให้กระทรวงศึกษาธิการ มีความโปร่งใสในการทำงานสามารถขับเคลื่อนกระทรวงศึกษาธิการ และกำลังใจของบุคลากรทางการศึกษา วันนี้ก็มีการแก้ไขปัญหาเรื่องหนี้ครู ไม่เกี่ยวกับสกสค ยืนยันว่าหาทางออกไม่ได้อย่างแน่นอน เพียงแต่รอกระบวนการในช่วงโควิด เนื่องจากผู้ได้รับประโยชน์จากการทำหน้าที่ของสถาบันการเงินต่างๆ
ส่วนที่มีกล่าวอ้างว่าตนนั้นสร้างเครือข่ายทางการเมือง ไม่นึกถึงพวกพ้อง ไม่นึกถึงพรรคการเมือง แล้วตนจะนึกถึงพวกพ้องนักการเมืองได้อย่างไร ตนต้องนึกถึงครูและบุคลากรทางการศึกษา ซึ่งที่คนที่ได้รับการแต่งตั้งนั้นต้องไปดูแล ยืนยันว่าตนไม่ได้สั่งการอะไรที่ผิดระเบียบ กระบวนการทั้งหมดไม่ได้เป็นการสั่งการเพื่อให้คนใดคนหนึ่ง ให้รัฐมนตรีช่วย หรือข้าราชการทางการเมืองใด มีอำนาจหน้าที่เหมือนข้าราชการประจำ แต่คือแผนการบูรณาการการศึกษา
แจง ปมค่าอาหารกลางวัน 21 บาท เหตุเป็นภาระสำนักงบเพิ่ม 3,000 ล้าน
นายณัฏฐพล ทีปสุวรรณ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ยังได้ชี้แจงกรณีนายปดิพัทธ์ สันติภาดา ส.ส.พิษณุโลก พรรคก้าวไกล อภิปรายด้านการศึกษาว่า ตนยอมรับในกระบวนการตรวจสอบของสภาผู้แทนราษฎร วันนี้เข้าสู่กระบวนการตรวจสอบของรัฐสภา จริงๆแล้วตัวดีใจที่ประเทศไทยเข้าสู่กระบวนการเลือกตั้งและทุกพรรคการเมืองที่อยู่ที่นี่ก็มีส่วนร่วมในการเข้าสู่กระบวนการประชาธิปไตย ไม่ว่าใครจะว่าอะไรก็แล้วแต่ เรามาถึงตรงนี้ได้ ประธานรัฐสภาเองก็พูดว่ากฎหมายจากรัฐบาลก็ได้มีการผ่านสภาไปเหลืออีก 1 ฉบับ แสดงว่ากลไกรัฐสภากำลังเกิดขึ้น มีความพร้อมที่จะขับเคลื่อนประเทศ
การอภิปรายไม่ไว้วางใจครั้งนี้ ผู้อภิปรายว่าตน ไม่ซื่อสัตย์สุจริต ไร้ประสิทธิภาพ ไร้ภูมิปัญญา และความสามารถ คุณธรรม จริยธรรมและไร้สำนึกความรับผิดชอบ ขาดวุฒิภาวะผู้นำใช้อำนาจแทรกแซง ปล่อยปะละเลยให้มีการทุจริตผิดกฎหมาย ไม่ยึดหลักนิติธรรม ไม่ปฏิบัติตามหลักการบริหารจัดการบ้านเมืองที่ดี ตนบอกตรงๆว่าตนส่งให้แม่ทนดู และแม่ได้ระบุว่าหากเลวขนาดนี้ก็ไม่ต้องเป็นแม่เป็นลูกกัน แต่หากตนไม่ร้ายแรงขนาดนี้ต้องเปิดโอกาสให้ตนได้อธิบายที่มาที่ไปพื้นฐานการทำงานของตนในอดีต เพื่อตอบได้ว่าตัวตนของตนคืออะไร พื้นฐานการทำงานของตนทำในองค์กร ที่ต้องการปรับปรุงพัฒนา มีหลายเรื่องที่มีปัญหาคนก็มั่นใจว่าตนลงไปคลุกคลี และรับทราบปัญหาเหล่านั้น กระทรวงศึกษาก็เช่นเดียวกันคนยืนยันว่าในช่วง 1 ปีครึ่งที่ผ่านมา
ตนได้ไปโรงเรียนกว่า 50 จังหวัด โดยไม่ได้มีการบอกกล่าวล่วงหน้า เพื่อตนจะได้ทราบปัญหาไม่ใช่ไปเฉพาะโรงเรียนใหญ่ๆใหญ่ ไม่ว่าสถานการณ์จะเป็นอย่างไรต้นเหตุปัญหาของการศึกษาไทย ที่มีความซับซ้อนฝังรากลึก สิ่งดีๆก็มีอยู่เยอะไม่เช่นนั้นคงไม่มานั่งกันอยู่ที่นี่ มานั่งกันอยู่ตรงนี้ก็เพราะการศึกษาใช้ทั้งนั้นอาจมีเพียง 10 ถึง 15 เปอร์เซ็นต์ที่อาจได้รับการศึกษาจากต่างประเทศ ที่ผ่านมาก็พยายามแก้ไขปัญหาการศึกษาในลักษณะการปรับแก้หรือแก้ไขในบางประเด็นไม่สามารถเปลี่ยนการศึกษาของประเทศไทยได้
“ แล้ววันนี้หากเป็นคนยุคใหม่เป็นคนที่เห็นความเปลี่ยนแปลงของโลก ต้องยอมรับว่าต้องพลิกการศึกษาของไทย ซึ่งต้องลงไปดูในรายละเอียด ซึ่งตนรับทราบปัญหาดีคนไม่เคยหลบหรือหนีปัญหา ด้วยกระบวนการที่นักเรียนมายังกระทรวงศึกษาธิการตนก็ต้อนรับและรับฟัง ซึ่งสามารถเชื่อมต่อไปถึงปัญหาได้ แล้วยอมรับว่า 95 เปอร์เซ็นต์ของนักเรียนที่พูดถึงคุณภาพการศึกษาเป็นพื้นฐานความจริงที่เกิดขึ้น ปัญหาของผู้สอนภาระงานของครู อัตรากำลังการประเมินวิทยฐานะ มีบางส่วนให้ความสนใจกับเรื่องการแต่งกายและทรงผมตนก็รับได้ตั้งคณะกรรมการขึ้นมาเพื่อแก้ไขปัญหาเรื่องของการศึกษา โดยมีตัวแทน ของทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง ด้วยคณะกรรมการชุดนี้ได้ยกในประเด็นทรงผมและเครื่องแต่งกายขึ้นมาพูดคุยโดยไม่ต้องแยกเป็นการตั้งคณะอนุกรรมการ โดยได้เชิญกลุ่มนักเรียนเลวมาร่วมประชุม การมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วนเข้าสู่กระบวนการแก้ไขปัญหาของกระทรวงศึกษา”
ส่วนกองทุนเพื่อความเสมอภาคหากทำการบ้านสักนิดหน่วยงานนี้มีบอร์ดอิสระ ขึ้นตรงต่อนายกรัฐมนตรีไม่ใช่หน่วยงานภายใต้กำกับของกระทรวงศึกษาธิการแต่เป็นการทำงานร่วมกันซึ่งที่ผ่านมางบประมาณเพิ่มขึ้นทุกปี อยู่ภายใต้การบริหารจัดการงบประมาณประเทศสำนักงบประมาณต้องดูความเหมาะสมในหลายๆเรื่อง จริงๆแล้วหน่วยงานนี้สมควรได้รับงบประมาณ 25,000 ล้านต่อปี เพื่อมีนักเรียนด้อยโอกาสจำนวนมาก และตนมั่นใจว่าการที่เด็กๆเหล่านี้ไม่ได้รับการดูแลจะได้รับการดูแลอย่างแน่นอนแต่ต้องใช้เวลา แต่ไม่ใช่อีก 10 ปี ภายในอีก 3-4 ปีข้างหน้าหากเราร่วมกันทั้งสภา ร่วมกันวางแผนทำให้การศึกษาเป็นวาระแห่งชาติเราก็จะสามารถผลิตการศึกษาไทยได้อย่างแน่นอน
ส่วนเรื่องโควิด ไม่มีงบประมาณให้ครูไปทำหน้าที่พบปะนักเรียน สพฐ.มีการจัดสรรงบให้เป็นกิจกรรมพัฒนาผู้เรียนแต่อาจจะเป็นจำนวนไม่มาก ซึ่งเอามาจากงบที่ไม่สามารถทำกิจกรรมได้เช่นทัศนศึกษา ลูกเสือ เนตรนารี จะว่าอย่างไรก็ได้ในช่วงโควิด ว่าไม่มีความสามารถในการบริหารจัดการการศึกษาในช่วงโควิด แต่ตนมั่นใจว่าการที่เลื่อนเปิดเทอมจากวันที่ 15 พฤษภาคมเป็นวันที่ 1 กรกฎาคม เป็นการเปิดโอกาสให้ครูทั่วประเทศสามารถมีความเข้าใจ มีโอกาสสัมผัสเทคโนโลยีที่บางคนอาจไม่คุ้นเคย หากบอกว่าเป็นความสามารถของคณะรัฐมนตรีคนก็อาจจะบอกว่าไม่จริงอย่าไปสนใจเรื่องนั้น แต่ขอให้สนใจว่าครูได้มีโอกาสจับทักษะของตัวเอง วันนี้ไม่ว่าการระบาดจะเกิดขึ้นที่ไหนในประเทศไทยครูทั่วทั้งประเทศมีศักยภาพและความสามารถในการบริหารจัดการการเรียนการสอนผ่านช่องทางใด หากสังเกตคำสั่งของกระทรวงศึกษาธิการจะเห็นว่าให้โรงเรียนใช้วิธีการเรียนการสอนผ่านออนไลน์หากทำไม่ได้ให้ใช้ใบงานและแบบฝึกหัด เพราะมั่นใจว่าทั่วทั้งประเทศครูมีความสามารถเพียงพอ
ส่วนกรณีค่าอาหารกลางวัน เหมือนกับงบประมาณอื่นๆที่ทุกกระทรวงต้องอยากได้งบประมาณที่มากที่สุดสำหรับกระทรวงตัวเองแต่ขณะเดียวกันต้องคำนึงถึงภาระงบประมาณของประเทศเช่นกัน ต้นเป็นคนเสนอจากคลิปวีดีโอต้นพูดถึงงบประมาณ 36 บาท และต่ำสุดวันนั้นคือ 24 บาท แต่เมื่อตนได้ไปทำการบ้าน ไปดูภาระของงบประมาณ และข้อเท็จจริงที่จะเกิดขึ้น ตนจึงปรับ จาก 36 บาท ลงมาเหลือ 21 บาท โดยมีการพูดคุยกับสำนักงบประมาณ โดยมีข้อกังวลว่าหากขึ้นไปตามขั้นบันไดตามที่ตนได้พูด ภาระงบจะเพิ่มขึ้น 3,000 ล้าน โดยในอนาคตจะมีโรงเรียนขนาดกลางมากขึ้น โรงเรียนขนาดเล็กจะเหลือแค่โรงเรียนที่เป็นโรงเรียน stand alone โดยหลังจากนั้นเราจะสามารถคำนวณตัวเลขที่เหมาะสมได้เพราะขณะนี้กำลังทำแผนอยู่ทั่วประเทศ และตนก็พร้อมจะรับฟังความคิดเห็นในแผนการบูรณาการการศึกษาในจังหวัดพิษณุโลก แต่ต้องให้ทีมงานนั้นทำข้อมูลมาก่อน
ข่าวที่เกี่ยวข้อง