ข่าว

คุก 4 ปี-หมายจับ "ไวพจน์" ล้มประชุมอาเซียน

เกาะติดข่าวสาร >> คมชัดลึก ออนไลน์
logoline

ศาลพัทยาพิพากษาจำคุก 4 ปีไม่รอลงอาญาพร้อมออกหมายจับ 'ไวพจน์' ให้มารับโทษ วิษณุเผยพ้นสมาชิกภาพ ส.ส.ทันที

 

               ศาลพัทยาพิพากษาจำคุก 4 ปีไม่รอลงอาญาพร้อมออกหมายจับ ‘ไวพจน์’ ให้มารับโทษ วิษณุเผยพ้นสมาชิกภาพส.ส.ทันที เผยกกต.จัดเลือกตั้งซ่อมกำแพงเพชร ขณะที่ กรณ์ จับมือ อรรถวิชช์ ที่ลาออกตาม ตั้งพรรคใหม่ทำงานเศรษฐกิจ

 

               เสรีพิศุทธ์ ไม่สนเพื่อไทยลั่นซักฟอกบิ๊กป้อมแน่นอน ด้านวิษณุเผย 17 พรรคการเมืองกู้เงินคนละเหตุผล แนะเพื่อความชัวร์ตรวจสอบให้หมด ‘กวินนาถ’ ซัด ‘ปิยบุตร’ อย่าแถหลังอ้างองค์ประชุมไม่ครบปมขับ 4 ส.ส.งูเห่า “เพื่อไทย” มีมติไม่ขับ 3 งูเห่าพ้นพรรคแต่ไม่ส่งลงส.ส.สมัยหน้า-ไม่ให้ร่วมกิจกรรมพรรค

 

               ยืดเยื้อมานานหลายเดือนสำหรับปมการพ้นสมาชิกภาพ ส.ส.ของ พ.ต.ท.ไวพจน์ อาภรณ์รัตน์ ส.ส.พรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) ล่าสุดศาลพัทยาอ่านคำพิพากษาจำคุก 4 ปี และปรับ 200 บาท โดยไม่รอลงอาญาในคดีล้มการประชุมอาเซียน ปี 2552 พร้อมให้ออกหมายจับเพื่อมารับโทษต่อไป

 

ศาลออกหมายจับ ‘ไวพจน์’

 

               เมื่อวันที่ 15 มกราคม ที่ศาลจังหวัดพัทยา ศาลนัดฟังคำพิพากษาศาลฎีกา คดีหมายเลขดำ อ.3537/2552 คดีที่ 13 นปช. ร่วมกันชุมนุม บุกรุกไปยังโรงแรมรอยัล คลิฟ บีช พัทยา ก่อความวุ่นวายขัดขวางการประชุมอาเซียน ปี 2552 ที่พนักงานอัยการ สำนักงานอัยการจังหวัดพัทยา เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง นายอริสมันต์ พงศ์เรืองรอง กับพวกรวม 18 คน เป็นจำเลย

 

              โดยระหว่างพิจารณามีจำเลยหลบหนี 3 คน ขณะที่ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง 2 คน นายธรชัย ศักดิ์มังกร จำเลยที่ 8, พ.ต.อ.สมพล รัฐกาญจน์ จำเลยที่ 14 ชั้นฎีกายกฟ้อง 1 คน คือนายสมญศฆ์ พรมภา จำเลยที่ 4

 

               ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ศาลนัดอ่านคำพิพากษาในส่วนของ พ.ต.ท.ไวพจน์ อาภรณ์รัตน์ ส.ส.พรรคพลังประชารัฐ จำเลยที่ 3 หลังจากเมื่อวันที่ 3 ธันวาคม2562 ศาลจังหวัดพัทยาได้ออกหมายจับเพื่อให้ติดตามตัวมาฟังคำพิพากษาฎีกาในวันนี้ แต่ปรากฏว่าเมื่อถึงเวลานัดมีเพียงทนายความเดินทางมา

 

               ส่วน พ.ต.ท.ไวพจน์ ที่ศาลออกหมายจับครบ 1 เดือนแล้วยังไม่ได้ตัวมาศาล ศาลจึงได้อ่านคำพิพากษาลับหลังจำเลย โดยศาลฎีกาพิพากษายืน จำคุก พ.ต.ท.ไวพจน์ 4 ปี และปรับ 200 บาท โดยไม่รอลงอาญา

 

               ภายหลังอ่านคำพิพากษาศาลฎีกาแล้ว ศาลจังหวัดพัทยาได้มีคำสั่งให้ออกหมายจับ พ.ต.ท.ไวพจน์ จำเลยที่ 3 เพื่อมารับโทษตามคำพิพากษาต่อไป โดยหมายจับมีอายุความ 10 ปี ในการติดตามตัวนับจากวันนี้

 

พ้นสมาชิกภาพส.ส.-กกต.จัดเลือกตั้ง

 

               สำหรับคดีนี้ในส่วนของจำเลยที่ 1, 2, 5, 12, 16 นั้น ศาลได้อ่านคำพิพากษาศาลฎีกาลับหลังจำเลยและออกหมายจับจำเลยไว้แล้วเช่นกัน ส่วนจำเลยที่ 6, 10, 11, 13, 15, 17 ที่ศาลฎีกามีคำพิพากษายืนจำคุกด้วยนั้น ได้ฟังคำพิพากษาก่อนหน้านี้แล้ว และศาลได้ออกหมายจำคุกถึงที่สุด ซึ่งทั้งหมดถูกคุมขังอยู่ในเรือนจำ

 

               โดยคดีนี้มีจำเลยที่ศาลยกฟ้องเพียง 3 คน คือจำเลยที่ 4, 8 และ 14 โดยมีจำเลยที่หลบหนีระหว่างพิจารณา 3 คน คือ 7, 9 และ 18 ซึ่งศาลให้จำหน่ายคดีออกจากสารบบความไว้เป็นการชั่วคราว จนกว่าจะได้ตัวมาดำเนินคดี

 

               ขณะที่นายวิษณุ เครืองาม รองนายกฯ กล่าวถึงกรณีศาลพัทยาอ่านคำพิพากษาคดีล้มการประชุมอาเซียนเมื่อปี 2552 ของ พ.ต.ท.ไวพจน์ ว่าสมาชิกภาพ ส.ส.ยังอยู่จนกว่าศาลจะอ่านคำพิพากษา ซึ่งในคำพิพากษาจะบอกเลยว่ามีผลแล้ว ไม่มีปัญหา และเมื่ออ่านคำพิพากษาแล้ว คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ก็สามารถกำหนดวันเลือกตั้งซ่อมที่เขต 2 จ.กำแพงเพชร ได้เลย

 

“พปชร.”เล็งส่ง“จุลพันธ์”ลงแทน

 

               รายงานข่าวจากพรรคพลังประชารัฐแจ้งว่า จากกรณี พ.ต.ท.ไวพจน์ถูกศาลพิพากษาจำคุกและออกหมายจับส่งผลสิ้นสุดสภาพการเป็น ส.ส. ตามรัฐธรรมนูญ 2560 มาตรา 101 ขณะที่ก่อนหน้านี้มีกระแสข่าวพรรคเตรียมส่งบุตรชาย พ.ต.ท.ไวพจน์ คือ นายเพชรภูมิ อาภรณ์รัตน์ ลงเลือกตั้งซ่อม ส.ส.กำแพงเพชร เขต 2 แทนนั้น

 

               แต่ล่าสุดมีกระแสข่าวว่า แกนนำพรรคกำลังพิจารณาชื่อนายจุลพันธ์ ทับทิม อดีตนายกอบจ.กำแพงเพชร อดีตสมาชิกสภาจังหวัด และอดีต ส.ว. แต่ทั้งนี้อยู่ระหว่างการตัดสินใจของแกนนำพรรค

 

“บิ๊กป้อม” ไม่หวั่นโดนอภิปราย

 

               ด้านความคืบหน้าเกี่ยวกับกระแสข่าวฝ่ายค้านจะยื่นอภิปรายไม่ไว้วางใจ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี เพิ่มอีก 1 คนนั้น วันเดียวกัน เมื่อเวลา 15.00 น. ที่ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.ประวิตร ให้สัมภาษณ์ถึงเรื่องดังกล่าวว่า หากฝ่ายค้านอภิปรายเกี่ยวโยงมาถึงไม่ว่าจะเป็นเรื่องใดก็ตามก็พร้อมที่จะชี้แจง สบายอยู่แล้ว ตอบได้ ไม่มีปัญหา เพราะมั่นใจว่าไม่ได้ทำอะไรผิด ตอบได้ทุกเรื่อง แม้กระทั่งเรื่องงานด้านความมั่นคง อาวุธยุทโธปกรณ์ที่มีการซื้อก็ยืนยันว่าดำเนินการถูกต้องตามระเบียบการซื้อขายรัฐต่อรัฐ (จีทูจี)

 

               เมื่อถามว่ามั่นใจว่าจะไม่ถูกล้มในการอภิปรายใช่หรือไม่ พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า “จะไปล้มได้อย่างไร มีแต่เดินอยู่ ส่วนที่มีกระแสข่าวว่า ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง ประธานคณะกรรมการกิจการพิเศษพรรคเพื่อไทย ส่งคนมาพูดคุยว่าจะไม่อภิปรายท่านนั้น ไม่ได้พูดคุยกับเขา จะไปรู้อะไร จะมีชื่อตนหรือไม่มีชื่อตนในการถูกอภิปรายครั้งนี้ก็ได้

 

‘ภูมิธรรม’ยันไม่มีดีลพิเศษ

 

               วันเดียวกัน นายภูมิธรรม เวชยชัย ที่ปรึกษาผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร ในฐานะรองประธานคณะกรรมการกิจการพิเศษพรรคเพื่อไทย (พท.) ให้สัมภาษณ์กรณี ร.ต.อ.เฉลิม ระบุไม่มีชื่อ พล.อ.ประวิตร ในการอภิปรายไม่ไว้วางใจ แต่สมาชิกพรรคบางคนมีความเห็นต่างในเรื่องตัวบุคคลและประเด็นในการอภิปรายไม่ไว้วางใจในส่วนของพรรคเพื่อไทยว่า

 

               สิ่งที่คณะกรรมการกิจการพิเศษรวบรวมประเด็นและกำหนดไว้ โดยยึดหลักการอภิปรายในประเด็นสำคัญที่มีหลักฐานชัดเจน จะไม่อภิปรายหว่านแหไปยังรัฐมนตรีต่างๆ ที่หลักฐานไม่ชัด ขณะนี้รวบรวมรัฐมนตรีที่จะถูกอภิปรายได้ทั้งสิ้น 5 คนตามที่มีข่าวประกาศออกไปแล้ว

 

               แต่ยืนยันเราไม่ได้ปิดกั้นการเสนอชื่อท่านอื่นๆ และถ้าสมาชิกคนใดหรือพรรคร่วมฝ่ายค้านพรรคใดมีข้อเสนอหรือมีประเด็นอื่นๆ เพิ่มเติมขึ้น และมีหลักฐานชัดเจนสามารถเสนอเข้ามาให้ร่วมกันพิจารณาได้ ดังนั้น รายชื่อที่เสนอออกมา จึงเป็นไปตามหลักการที่หารือร่วมกันมา

 

               ส่วนที่มีข่าวลือว่ามีการรับประโยชน์ใดๆ มา เพื่อทำให้ไม่มีชื่อนั้น ไม่เป็นความจริง และนับจากนี้ไปตามที่เราได้ประสานกับพรรคร่วมฝ่ายค้านต่างๆ และสมาชิกพรรค ขอยืนยันว่าไม่ใช่แค่สมาชิกพรรคเพื่อไทยเท่านั้น แต่พรรคร่วมฝ่ายค้านอื่นด้วยก็เช่นกันถ้าหากผู้ใดมีหลักฐานสามารถนำมาอภิปรายได้ เราจะเปิดรับ และสนับสนุนให้เข้าร่วมการอภิปราย ขอยืนยันอีกครั้งว่าในการอภิปรายครั้งนี้เราจะเน้นน้ำหนักของเนื้อหา จะไม่เฉลี่ยเวลากันอภิปราย ถ้าใครมีน้ำหนักก็พร้อมให้เวลาเต็มที่

 

‘เสรีพิศุทธ์’ ไม่สนลุยซักฟอก ‘บิ๊กป้อม’

 

               เมื่อเวลา 17.30 น. พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียเวส หัวหน้าพรรคเสรีรวมไทย ให้สัมภาษณ์ถึงกระแสข่าวที่ว่ามีการล็อบบี้ผ่านทางพรรคเพื่อไทยเพื่อไม่ให้อภิปราย พล.อ.ประวิตร ว่า ไม่มีการมาล็อบบี้พรรคเสรีรวมไทย เพราะเราเป็นพรรคเล็ก เขาอาจไม่ได้มองเรา เขาคงคุมเราได้แค่เรื่องเวลาว่าเราจะได้เวลาอภิปรายเท่าไร แต่คงคุมเราไม่ได้ในเรื่องที่เราจะอภิปรายใครหรือไม่อภิปรายใคร ส่วนประเด็นที่จะใช้อภิปราย พล.อ.ประวิตร เขาคงมายุ่งกับเราไม่ได้ พรรคใครพรรคมัน

 

               “ประเด็นที่เราจะใช้อภิปราย พล.อ.ประวิตร คงเป็นเรื่องเก่าๆ อาทิ การโอนย้ายตำแหน่งของ พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ หักพาล เหตุใดไม่มีการตั้งกรรมการสอบสวน ซึ่งถือเป็นการละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ นอกจากนี้ เรื่องนาฬิกา แม้คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) จะยุติเรื่องแล้ว

 

               แต่คณะกรรมาธิการ (กมธ.) ป้องกันและปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบ สภาผู้แทนราษฎร ได้ยื่นหนังสือเรียกเอกสารมาตรวจสอบใหม่ ซึ่งการอภิปรายดังกล่าวจะใช้เรื่องเก่าหรือใหม่มาก็ได้ เพราะตลอดเวลา 5-6 ปีที่ผ่านมา ท่านไม่เคยถูกอภิปรายมาก่อน และกฎหมายไม่ได้ห้าม” พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ กล่าว

 

“กรณ์”โพสต์เหตุลาออกประชาธิปัตย์

 

               วันเดียวกัน นายกรณ์ จาติกวณิช อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง และ ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) หลายสมัย แถลงลาออกจากพรรคประชาธิปัตย์ ผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว “Korn Chatikavanij” โดยเปิดใจถึงการตัดสินใจในครั้งนี้ว่า ขอบคุณพรรคประชาธิปัตย์ที่ได้ให้โอกาสตลอดมา

 

               โดยที่โอกาสสำคัญที่สุดคือ การเป็นรัฐมนตรีคลังในช่วงวิกฤติเศรษฐกิจที่รุนแรงที่สุดครั้งหนึ่ง และด้วยเหตุนี้ความผูกพันที่ตนมีกับพรรค และเพื่อนร่วมพรรคจึงเป็นสิ่งที่จะอยู่กับตนตลอดไป

 

               “ในการลาออกจากพรรคนั้น ผมขอขอบคุณมิตรภาพที่เพื่อน ส.ส. และอดีตส.ส.ได้มอบให้ผม ผมจากไปจากพรรคแต่จะยังคิดถึงเพื่อนๆ ทุกคน แต่ที่สำคัญที่สุดผมขอขอบคุณพี่น้องประชาชนทุกคนที่ได้ให้โอกาสผมทำงานเพื่อบ้านเมือง ผมมีความฝันที่อยากจะสร้างการเมืองแห่งความเปลี่ยนแปลง การเมืองที่กล้าคิด กล้าทำ มีความรอบคอบแต่ไร้ความกลัว

 

               มีความเด็ดเดี่ยวแต่มีคุณธรรม เป็นการเมืองที่จะชวนผู้คนในสังคมไทยที่มีศักยภาพ มาร่วมกันออกแบบและขับเคลื่อนประเทศไทยไปด้วยกัน การจะตัดสินใจสิ่งใดๆ ก็ตาม ที่เป็นก้าวที่สำคัญของชีวิตจะต้องฟังเสียงข้างในของตัวเอง แต่สำหรับนักการเมืองไม่ว่าจะก้าวเล็กหรือก้าวใหญ่ต้องมาจากการรับฟัง ‘เสียงของประชาชน’ อีกด้วย” นายกรณ์ ระบุ

 

“อรรถวิชช์”จ่อไขก๊อกตามกรณ์

 

               ขณะเดียวกันมีรายงานข่าวแจ้งว่า นายอรรถวิชช์ สุวรรณภักดี อดีต ส.ส.กทม.พรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) เตรียมลาออกจากพรรคประชาธิปัตย์อีกคน หลังจากนายกรณ์ยื่นหนังสือลาออกจากพรรคประชาธิปัตย์ โดยนายอรรถวิชช์ได้เข้าไปลานายชวน หลีกภัย ประธานรัฐสภา ซึ่งนายชวนได้ขอให้นายอรรถวิชช์อยู่ช่วยกันทำงานก่อน แต่ไม่เป็นผลสำเร็จ

 

จับมือกันตั้งพรรคใหม่ทำงานเศรษฐกิจ

 

               รายงานข่าวแจ้งต่อว่า ส่วนกระแสข่าวว่านายกรณ์จะไปลงสมัครรับเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม. ในนามพรรคพลังประชารัฐนั้น ขอยืนยันว่าไม่ไปแน่นอน แต่นายกรณ์มีความตั้งใจจะทำงานด้านเศรษฐกิจซึ่งเป็นงานที่ถนัดและเชี่ยวชาญ โดยจะตั้งพรรคการเมืองใหม่ขึ้นมาพรรคหนึ่งทำเกี่ยวกับโครงสร้างเศรษฐกิจใหม่ และสตาร์ทอัพ โดยในวันที่ 17 มกราคมนี้ นายอรรถวิชช์จะประกาศลาออกจากพรรคประชาธิปัตย์ เพื่อมาร่วมตั้งพรรคการเมืองกับนายกรณ์

 

“จุรินทร์” ลั่นไม่เคยขัดแย้ง“กรณ์”

 

               ที่พรรคประชาธิปัตย์ นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรีและรมว.พาณิชย์ ในฐานะหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่นายกรณ์ลาออกจากพรรคประชาธิปัตย์ว่า นายกรณ์ยังไม่เคยพูดถึงเรื่องดังกล่าว แต่ได้ทราบจากข่าวของสื่อมวลชนที่ระบุถึงเรื่องงานเลี้ยงเมื่อคืนวันที่ 14 มกราคม และขณะนี้ยังไม่ทราบเหตุผล จึงขอให้นายกรณ์ออกมาให้เหตุผลว่าเกิดจากอะไร

 

               เมื่อถามถึงความสัมพันธ์ระหว่างนายจุรินทร์กับนายกรณ์เป็นอย่างไร เพราะมีข่าวที่ว่านายกรณ์ถูกลดบทบาทจากที่เคยเป็นหัวหน้าทีมเศรษฐกิจของพรรค นายจุรินทร์ กล่าวว่า ไม่ได้มีปัญหากับนายกรณ์ ส่วนบทบาทหน้าที่นั้น นายกรณ์ทำหน้าที่ ส.ส.ในสภาผู้แทนราษฎร แต่ไม่ได้เป็นกรรมการบริหารพรรค ขณะที่การทำงานในทีมเศรษฐกิจของพรรคไม่ได้มีปัญหา

 

               เพียงแต่ช่วงหลัง เรามีคนรุ่นใหม่เข้ามาจำนวนมากช่วยเสริมทีมดังกล่าว อาทิ นายปริญญ์ พานิชภักดิ์ ที่ได้มาทำหน้าที่รองหัวหน้าพรรค และดูแลทีมเศรษฐกิจทันสมัย เพราะโลก ภาวะทางเศรษฐกิจ และกลไกรูปแบบต่างๆ เปลี่ยนไป จึงมีความจำเป็นที่ต้องได้คนรุ่นใหม่เข้ามาร่วมทีมในพรรคมากขึ้น

 

‘สาทิตย์’ชี้ปมในพรรค-ถูกลดบทบาท

 

               ด้าน นายสาทิตย์ วงศ์หนองเตย ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ โพสต์ข้อความทางเฟซบุ๊ก แสดงความเห็นกรณี นายกรณ์ลาออกจากพรรคประชาธิปัตย์ว่า เคยคุยกับนายกรณ์หลายครั้งก่อนหน้านี้ เรื่องการเมืองในพรรค รู้ว่าในใจของนายกรณ์ รู้ว่าเขาถูกลดบทบาทและไม่ได้รับโอกาสจากพรรค แต่นายกรณ์เป็นสุภาพบุรุษมากพอที่จะไม่ยกเรื่องนี้มาเป็นประเด็น แต่ในการคุยกันก่อนหน้านี้พยายามบอกเขาว่า ทำไมไม่ร่วมมือกัน เปลี่ยนจากภายใน นายกรณ์หัวเราะและไม่ตอบ แต่เห็นแววตาที่มุ่งมั่นของนายกรณ์

 

               “ข่าวเรื่องกรณ์จะลาออกจากพรรค รับรู้กันหลายคนในปชป. ไม่น่าเชื่อว่าปฏิกิริยาต่อการลาออกของคนนอกพรรค กลับแรงกว่าคนในพรรค ในแง่ที่ว่า ตัดสินใจถูกแล้ว อีกหลายคน ผมว่า มันสะท้อนปัญหาการบริหารภายในพรรคแน่นอน แต่หากคนมีอำนาจยังคิดกันแค่ว่ามันเป็นเรื่องปกติ ต้องรับรู้ด้วยครับว่า สมาชิกและคนที่สนับสนุนพรรคหลายคน รู้สึกท้อถอย และสั่นคลอนความเชื่อมั่นต่อการลาออกของคนระดับแกนนำพรรค

 

               เราจะเยียวยาความรู้สึกกันอย่างไร เราจะเดินต่อกันไปอย่างไร แต่เอาเถอะ นั่นคือเรื่องในพรรค ที่ต้องว่ากันต่อไป ผมว่าประเทศของเราต้องการนักการเมืองที่มีทั้งแนวคิดที่ดีและความตั้งใจเพื่อบ้านเมือง และผมเชื่อว่า ประชาชน พร้อมจะให้โอกาส กรณ์ จาติกวณิช กับแนวคิดดีๆ ของเขาในอนาคต เมื่อตัดสินใจเดินหน้า อย่าติดกับดักความอาลัยในที่เดิม ทำให้ดีที่สุด เดินให้สุด เพื่อนกรณ์”

 

อดีตส.ส.ชลบุรี ทิ้งปชป.อีกคน

 

               วันเดียวกัน นายฐนโรจน์ โรจนกุลเสฏฐ์ อดีต ส.ส.ชลบุรี พรรคประชาธิปัตย์ ได้ส่งข้อความเข้าไลน์กลุ่ม ส.ส.ประชาธิปัตย์ ระบุว่า “ผมได้ทำหน้าที่จัดหาสมาชิกจัดตั้งตัวแทนเขตเพื่อส่งมอบหน้าที่ให้กับพรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งเปรียบเสมือนพ่อแม่ผู้ให้กำเนิดผมทางการเมืองเสร็จสมบูรณ์ไปแล้ว เมื่อวันอาทิตย์ที่ 12 มกราคม ที่ผ่านมา วันนี้ผมขอกราบลาผู้ใหญ่ที่เคารพนับถือทุกท่านในพรรคและเพื่อนๆ พี่ๆ น้องๆ ผู้ร่วมอุดมการณ์กันมาในพรรคประชาธิปัตย์ทุกคนตั้งแต่ปี 2544 เพื่อออกไปสร้างครอบครัวใหม่ตามแนวคิดทฤษฎีทางการเมืองของผมต่อไปครับ"

 

               เมื่อถามว่า มองว่าเป็นเพราะอะไรที่มีคนลาออกจากพรรคประชาธิปัตย์ตลอด นายฐนโรจน์กล่าวว่า ต้องอยู่กับความเป็นจริง ประชาธิปัตย์มีปัญหาทุกครั้งในการเลือกหัวหน้าพรรค ที่เป็นประชาธิปไตยเกิน เลยทำให้แตกกันเละเทะ แสดงว่าวิธีนี้ไม่ใช่ ดังนั้นคงพูดคุยกันดีกว่า เป็นประชาธิปไตยแบบถ้อยทีถ้อยอาศัย และการบริหารของพรรคก็มีข้อบกพร่องบางอย่างอยู่ เหมือนรถที่มีปัญหาเรื่องเบรก เขาก็แก้ไม่ได้ เป็นเส้นผมบังภูเขา พรรคก็เหมือนกันมีปัญหาแต่แก้ไม่ได้ เหมือนเส้นผมบังภูเขา

 

‘ปิยบุตร’ โต้ดึงเกมยื้อ 4 ส.ส.งูเห่า

 

               เมื่อเวลา 09.30 น. ที่รัฐสภา นายปิยบุตร แสงกนกกุล ส.ส.บัญชีรายชื่อ และเลขาธิการพรรคอนาคตใหม่ กล่าวถึงกรณีความไม่ชัดเจนของพรรคอนาคตใหม่ในการขับ 4 ส.ส.อนาคตใหม่ออกจากพรรคว่า เรื่องนี้กำลังดำเนินการตรวจสอบตามขั้นตอน ตกใจอยู่ที่เห็นข่าวเช่นนี้ แต่คิดว่าไม่น่าจะมีปัญหา

 

               เดิมที่ประชุมวิสามัญเสนอให้ขับ 4 ส.ส.อนาคตใหม่ออกจากพรรค แต่ตามรัฐธรรมนูญจะต้องใช้มติที่ประชุมส.ส. และกรรมการบริหารพรรค ซึ่งพรรคได้จัดประชุมพรรคทันทีในวันรุ่งขึ้น และมีมติขับออก อย่างไรก็ตามมติที่เกิดขึ้นจะต้องตรวจสอบรายชื่อผู้เข้าร่วมประชุม และจัดทำรายงานการประชุมให้คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ต่อไป

 

               ผู้สื่อข่าวถามว่า ขณะนี้ กกต.ยังไม่ได้รับรายงานการประชุมเรื่องการขับอดีต 4 ส.ส.อนาคตใหม่ออกจากพรรค เนื่องจากมีปัญหาการประชุม ส.ส.อนาคตใหม่ในวันดังกล่าว มีองค์ประชุมไม่ครบ ขาดตัวแทนภาคร่วมประชุม นายปิยบุตรตอบว่า กำลังตรวจสอบ แต่ขั้นตอนในวันดังกล่าวค่อนข้างรีบเร่ง จึงต้องไปตรวจสอบรายละเอียดและลายเซ็นผู้เข้าร่วมประชุมว่า ครบองค์ประชุมหรือไม่ มิเช่นนั้นจะกลายเป็นมติไม่ชอบ

 

               ต้องไปเช็กว่าวันนั้นมีการเซ็นชื่อเข้าประชุมครบองค์ประชุมหรือไม่ พอมีมติเกิดขึ้น ไม่ใช่ว่าจะมีความสมบูรณ์ทันที ต้องรอการส่งเอกสารหนังสือรับรองให้ กกต. เพื่อยืนยันอย่างเป็นทางการ ตอนนี้กำลังตามเรื่องอยู่ทุกวันทั้ง 4 คน คงไม่ต้องกังวลใจอะไร เพราะประกาศตัวชัดเจนแล้ว ถ้าไปปรากฏชื่อซ้อนกัน 2 พรรคก็เป็นหน้าที่ของกกต.

 

‘กวินนาถ’ ซัด ‘ปิยบุตร’ อย่าแถ

 

               น.ส.กวินนาถ ตาคีย์ ส.ส.ชลบุรี ที่ถูกขับออกจากพรรคอนาคตใหม่ ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีนายปิยบุตรระบุจะกลับไปตรวจสอบองค์ประชุมในการประชุม ส.ส. และกรรมาธิการบริหารพรรคอนาคตใหม่ ในวันที่ 17 ธันวาคม 2562 มีองค์ประชุมครบถ้วนหรือไม่ ว่า อย่าแถ ยืนยันว่าการประชุมพรรคอนาคตใหม่ในวันดังกล่าว มีองค์ประชุมครบถ้วนแน่นอน การลงมติเป็นเรื่องสำคัญ เป็นไปไม่ได้ที่จะมีองค์ประชุมไม่ครบ โดยเฉพาะนายปิยบุตรเป็นอาจารย์สอนกฎหมายไม่มีทางที่จะผิดพลาด

 

               ในเรื่องนี้ ส.ส.อนาคตใหม่ ทั้ง 4 คนที่ถูกขับออกจากพรรค ได้ตรวจสอบจนแน่ใจแล้วว่ามีการขับออกจากพรรคอย่างถูกต้อง จึงไปหาสังกัดพรรคใหม่ภายใน 30 วัน การกระทำเช่นนี้มีเจตนาอะไรกันแน่ และอย่ามาอ้างว่ามีคดีเยอะเพราะว่าภายในพรรคมีทีมทนายค่อยจัดการเรื่องคดีความอยู่แล้ว เรื่องนี้พรรคอนาคตใหม่ต้องรับผิดชอบ ถ้าเกิดปัญหาขึ้นมาก็ต้องดำเนินการฟ้องร้องต่อไป

 

‘ชวน’โยนกกต.ดูปมส.ส.งูเห่าสีส้ม

 

               ที่รัฐสภา นายชวน หลีกภัย ประธานสภาผู้แทนราษฎร กล่าวถึงกรณีที่ ส.ส.พรรคอนาคตใหม่ทั้ง 4 คน ที่ถูกขับออกจากพรรค และมีปัญหาในการหาพรรคการเมืองสังกัดใหม่ว่า ตอนนี้รอให้สภารายงานเรื่องนี้เข้ามา โดยติดตามเรื่องนี้ตั้งแต่เมื่อวันที่ 14 มกราคม ซึ่งที่จริงแล้วความเป็นส.ส.ขึ้นอยู่กับการตัดสินของ กกต. อย่างไรก็ตาม ถ้าเรื่องมาถึงสภาก็จะดูแลเรื่องนี้ให้ เข้าใจว่าหนึ่งถึงสองวันนี้ ทางสภาจะรายงานเรื่องสถานภาพของ ส.ส.ทั้ง 4 คน

 

               เมื่อถามว่า มีความเป็นไปได้หรือไม่ที่พรรคภูมิใจไทยและพรรคพลังท้องถิ่นไทยังไม่รับ ส.ส.พรรคอนาคตใหม่ดังกล่าว เพราะพรรคอนาคตใหม่ยังมีปัญหาเรื่องความชอบด้วยกฎหมายเกี่ยวกับองค์ประชุมไม่ครบในการมีมติให้ขับออกจากพรรคนั้น นายชวนกล่าวว่า เข้าใจว่าพรรคที่จะรับ ส.ส.ทั้ง 4 คน กำลังรอหนังสือการพ้นสมาชิกพรรคจากอีกพรรคการเมืองหนึ่งอยู่ ซึ่งเรื่องนี้ต้องถามพรรคการเมืองที่จะรับ ส.ส.ทั้ง 4 คนว่าสาเหตุคืออะไร

 

เพื่อไทยฟันงูเห่าไม่ให้ยุ่ง-ไม่ส่งลงส.ส.

 

               วันเดียวกัน ที่พรรคเพื่อไทย คณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงกรณี ส.ส.ของพรรคไม่ปฏิบัติตามมติของพรรคและพรรคร่วมฝ่ายค้าน ได้มีผลสอบกรณี 3 ส.ส.กระทำการฝ่าฝืนมติพรรค และข้อตกลงร่วมกันของพรรคร่วมฝ่ายค้านว่า กรณีนางพรพิมล ธรรมสาร ส.ส.ปทุมธานี พบว่า ได้แสดงพฤติกรรมและท่าทีชัดเจนว่ามีเจตนาและแสดงออกอย่างเปิดเผยในการฝ่าฝืนมติพรรค จึงเสนอให้กรรมการวินัยและจรรยาบรรณลงโทษทางวินัยในระดับภาคทัณฑ์และใช้มาตรการทางปกครองที่เด็ดขาดคือ ไม่ให้เข้าร่วมกิจกรรมของพรรคและไม่ส่งสมัครในการเลือกตั้งครั้งต่อไปโดยไม่มีเงื่อนไขผ่อนปรนใดๆ ทั้งสิ้น

 

               กรณีนายพลภูมิ วิภัติภูมิประเทศ ส.ส.กทม. จากการตรวจสอบและสอบสวนชี้ชัดว่า ส.ส.พลภูมิได้มีพฤติกรรมและการกระทำที่ฝ่าฝืนมติพรรค จึงเห็นควรใช้มาตรการทางปกครองให้พิจารณาความผิดโดยให้ภาคทัณฑ์ และไม่ให้เข้าร่วมกิจกรรมของพรรคเป็นเวลาหนึ่ง และพิจารณาไม่ส่งเป็นผู้สมัครของพรรคในการเลือกตั้งครั้งต่อไป

 

               ส่วนกรณีนายขจิตร ชัยนิคม ส.ส.อุดรธานี ถือว่าได้กระทำผิดวินัยร้ายแรงเช่นกัน ข้ออ้างและเหตุผลที่ชี้แจงถือว่าฟังไม่ขึ้น แต่พฤติกรรมคือเพียงแสดงตนให้เป็นองค์ประชุม แต่ในความประพฤติต่อมา ยังไม่เห็นแจ้งชัดว่ายังจงใจที่จะกระทำผิดเช่นเดิม จึงเสนอให้ดำเนินการภาคทัณฑ์ ไม่ให้เข้าร่วมกิจกรรมพรรคในระยะเวลาหนึ่ง และพิจารณาไม่ส่งลงเลือกตั้งในครั้งต่อไป จนกว่าจะมีข้อเสนอหรือพิจารณาเป็นอย่างอื่น

 

               ทั้งนี้ผลสรุปทั้ง 3 กรณีนี้ คณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงจะส่งผลการพิจารณาให้คณะกรรมการจริยธรรมของพรรคและคณะกรรมการบริหารพรรคพิจารณาโดยลำดับ

 

‘วิษณุ’ ชี้ทางที่ดีตรวจสอบให้หมด

 

               เมื่อเวลา 09.45 น. ที่ทำเนียบรัฐบาล นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกรณีนายสมชัย ศรีสุทธิยากร อดีต กกต. ออกมาเปิดเผยว่ามีพรรคการเมืองกู้เงินถึง 18 พรรคว่า ไม่ทราบและไม่มีความเห็น เพราะเป็นกฎหมายเลือกตั้ง ส่วนจะกู้เงินได้หรือไม่ได้นั้น ไม่แน่ใจ คงต้องถาม กกต.ซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่โดยตรง

 

               อย่างไรก็ตาม ที่นายสมชัยออกมาเปิดเผยว่ามีถึง 18 พรรค ไม่แปลก เพราะไม่ใช่เรื่องลับอะไร เนื่องจากบัญชีของพรรคการเมืองเป็นเรื่องที่ต้องเปิดเผยและรับรู้กันอยู่แล้ว เพียงแต่ว่าได้หรือไม่ได้ ถูกหรือผิดแค่นั้น

 

               เมื่อถามว่า ตามกฎหมายสามารถกู้เงินได้หรือไม่ นายวิษณุกล่าวว่า ไม่ทราบ ก็เหมือนกับพรรคอนาคตใหม่เองที่ยังเป็นปัญหาอยู่เลยว่าได้หรือไม่ได้ เรื่องกำลังอยู่ในศาลรัฐธรรมนูญ ต้องให้ศาลวินิจฉัยก่อนจึงค่อยเอาไปเทียบกับกรณีของพรรคอื่น ศาลอาจจะบอกกรณีนี้ของพรรคอนาคตใหม่กู้ได้

 

               แต่กรณีของพรรคอื่นอาจจะกลายเป็นไม่ได้ก็ได้ เพราะพฤติกรรมมีทั้งเหมือนและแตกต่างกันอยู่ ขึ้นอยู่กับพฤติกรรมแต่ละคดี มีทั้งที่กู้ตามกฎหมายเก่าและกฎหมายใหม่ จึงไม่เหมือนกันทุกคดี บังเอิญเรื่องอื่นยังไม่เป็นคดี ก็ตรวจสอบให้หมดจะได้หมดเรื่อง

 

“ศรีสุวรรณ”เชือด32พรรคกู้เงิน

 

               เวลา 10.30 น. ที่สำนักงาน กกต. นายศรีสุวรรณ จรรยา เลขาธิการสมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย เข้ายื่นคำร้องให้ กกต.ตรวจสอบกรณีนายสมชัย ศรีสุทธิยากร อดีต กกต. ออกมาเปิดเผยข้อมูลเพิ่มเติมว่า มีพรรคการเมืองจำนวน 34 พรรค ที่ปรากฏรายการกู้เงินในเอกสารงบการเงินของพรรคประจำปี 2561 แต่เนื่องจากพรรคไทยรักษาชาติถูกศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัยให้ยุบพรรคไปแล้ว และพรรคอนาคตใหม่ กกต. ได้ส่งคำร้องให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยแล้ว

 

               นายศรีสุวรรณ กล่าวอีกว่า ขอให้ กกต.ตรวจสอบว่าทั้ง 32 พรรคการเมืองดังกล่าวเข้าข่ายฝ่าฝืนมาตรา 62 ของพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ(พ.ร.ป.)ว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ.2560 หรือไม่ หากเข้าข่ายก็จะต้องมีการเอาผิดตามมาตรา 72 ของ พ.ร.ป.พรรคการเมือง ซึ่ง กกต.เคยวินิจฉัยกรณีเงินกู้ของพรรคอนาคตใหม่ไปแล้ว และส่งศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยยุบพรรคตามมาตรา 92 (3) พ.ร.ป.พรรคการเมืองต่อไป

 

logoline

ข่าวที่น่าสนใจ