14 พ.ย.2565 อุทาหรณ์ ไรเดอร์หนุ่ม ตกเป็นเหยื่อรับเปิดบัญชีม้า รายนี้ถูกเปิดเผยขึ้นโดย นายนิรันดร์ (สงวนนามสกุล) อายุ 42 ปี เป็นพนักงานไรเดอร์ รับส่งอาหาร พร้อมด้วยภรรยา นำหลักฐานร้องต่อผู้สื่อข่าว พร้อมเปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 12 ก.ย.ที่ผ่านมา ระหว่างที่ตนออกไปวิ่งรับ ส่งอาหารตามปกติ ปรากฏว่าตนนั่งรอออเดอร์งานมาครึ่งวันแต่ก็ยังไม่ได้งาน
ต่อมาลูกชายโทรมาหาเพื่อขอเงินค่าขนม ซึ่งตนไม่มีเงินติดตัวที่จะให้ลูกเลย จึงคิดว่าจะหาเงินยังไงเพื่อนำไปจ่ายขนมให้ลูกก่อน ช่วงระหว่างที่รองานนั้นบังเอิญตนนั่งเล่นโทรศัพท์ ไปเจอเฟซบุ๊กกลุ่มรับซื้อขายบัญชีธนาคารต่าง ๆ ตนจึงลองทักข้อความไปหาคนที่ลงประกาศรับซื้อเพื่อลองติดต่อสอบถามรายละเอียด ซึ่งตนก็ได้สอบถามรายละเอียดว่า ต้องการนำบัญชีธนาคารไปทำอะไร ซึ่งทางมิจฉาชีพที่รับซื้อก็อ้างว่า จะนำบัญชีไปขายต่อให้กับแรงต่างด้าวที่แอบเข้ามาทำงานโดยไม่ถูกต้อง ซึ่งตนก็ได้ย้ำคำถามไปอีกครั้งว่า ถ้าตนนำบัญชีมาขายต่อให้จะไม่มีหมายตามมาหรือไม่ได้ ซึ่งมิจฉาชีพก็อ้างว่าไม่มี
โดยเขาจะให้ค่าจ้างเปิดบัญชีเป็นเงิน 1 พันบาท พร้อมกับเงินอีก 100 บาท ที่จะต้องใช้ในการเปิดบัญชีกับทางธนาคาร โดยมิจฉาชีพรายนี้บอกเงื่อนไขตนมาว่า ให้ตนไปเปิดบัญชีของธนาคารแห่งหนึ่งโดยให้ใช้หมายเลขโทรมือถือ ของเขาผูกกับบัญชีเพื่อเปิดแอปธนาคารไว้ ด้วยความที่ต้องการหาเงินไปซื้อขนมให้ลูกทั้ง 3 คน ตนจึงตัดสินใจนำเงิน 100 บาท ที่มิจฉาชีพรายนี้โอนเข้าบัญชีส่วนตัวมาให้ไปเปิดบัญชีให้ไป ซึ่งตนก็ได้รับค่าจ้างมาเป็นเงินครั้งละ 500 บาท จำนวน 2 ครั้ง
นายนิรันดร์ กล่าวอีกว่า ต่อมา ในวันที่ 17 ก.ย. 256 มีผู้เสียหายรายหนึ่งโทรศัพท์ติดต่อเข้ามาหาตน พร้อมกับสอบถามเรื่องเงินจำนวน 1.4 แสนบาทที่โอนเข้าบัญชีตนมา ด้วยความตกใจและไม่รู้เรื่องว่ามีเงินโอนเข้ามาที่ตนเปิดไว้เป็นจำนวนมาก จึงได้นัดให้ทางผู้เสียหายเดินทางมาพบกันที่ สภ.บางใหญ่ เพื่อแสดงความบริสุทธิ์ใจ ซึ่งต่อมาผู้เสียหายซึ่งเป็นสามีภรรยาเดินทางมาจากย่านหลักสอง ได้มาพูดคุยกับตนเองแล้ว จึงทราบว่าตนเองก็ถูกมิจฉาชีพหลอกให้ไปเปิดบัญชีมาเช่นกัน จึงให้ตนช่วยพยายามติดต่อกับทางมิจฉาชีพรายนี้ในเฟซบุ๊กให้เพื่อนำข้อมูลมาให้เจ้าหน้าที่ตำรวจ แต่ปรากฏว่าตนก็ไม่สามารถติดต่อทุกช่องทางกับมิจฉาชีพรายนี้ได้เลยเนื่องจากถูกบล็อกการติดต่อ
จากนั้น จึงตัดสินใจเดินทางไปที่ธนาคาร ที่ตนหลงเชื่อเปิดบัญชีให้กับมิจฉาชีพไว้ จึงทราบว่า มีผู้เสียหายถึงจำนวน 14 ราย ที่ถูกมิจฉาชีพรายนี้นำบัญขีของตนไปหลอกเอาเงินผู้เสียหายมาเป็นเงิน 2,891,209 บาท ก่อนจะถูกถอนผ่านแอปธนาคารออกไปจำนวน 2,885,155 บาท เหลือติดบัญชีไว้เพียง 6 พันบาท หลังทราบความจริงจากทางธนาคารแล้ว ตนเข่าอ่อน เพราะไม่คิดว่าบัญชีที่ตนเปิดให้คนร้ายไปเพียงเพื่อต้องการนำเงินไปซื้อขนมให้ลูก จะถูกนำหลอกลวงผู้เสียหายเป็นเงินจำนวนมากขนาดนี้ ตนคงไม่มีเงินมากมายขนาดนี้หามาคืนผู้เสียหายได้ทุกคน เพราะทุกวันนี้แค่สิ่งรับส่งอาหารกับผ่อนจ่ายเงินกู้รายวันก็แทบไม่เหลือเงินแล้ว
นายนิรันดร์ กล่าวอีกว่า หลังจากทราบความจริงที่ถูกมิจฉาชีพหลอกเปิดบัญชีแล้ว ตนกินไม่ได้นอนไม่หลับมาหลายคืน พยายามฆ่าตัวตายมาแล้วครั้งหนึ่ง แต่ภรรยากับลูก ๆ มาช่วยไว้ทัน ต่อมาตนเคยคิดว่าจะหนีคดีไปให้ไกล เพราะรู้ว่าคดีนี้มีผู้เสียหายถึง 14 คน ต่างกรรมต่างวาระ และต่างจังหวัดกันไป หากตนหนีคงต้องหนีไปทั้งชีวิต ตนจึงตัดสินใจว่า จะไม่หลบหนีไปไหนเพราะตนไม่มีเจตนาจะไปโกงใคร ได้แต่เตรียมทำใจรอรับหมายเรียกต่าง ๆ จากเจ้าทุกข์ผู้เสียหาย
จนกระทั่งต่อมามีหมายเรียกจากเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.เหล่าเสือโก้ก จ.อุบลราชธานี แจ้งให้ตนเดินทางไปพบพนักงานสอบสวนในวันที่ 15 พ.ย.นี้ ด้วยความที่ตนไม่ค่อยจะมีเงินเป็นค่าเดินทาง จึงตัดสินใจว่าจะขี่รถจักรยานยนต์ ที่ตนใช้วิ่งงานอยู่ เป็นพาหนะเดินทางไปพบเจ้าหน้าที่ตำรวจตามหมายเรียกที่อุบลราชธานี ที่มีเจ้าทุกข์แจ้งความไว้เป็นจำนวนเงิน 7.7 หมื่นบาท จึงได้นำเรื่องราวไปสอบถามเพื่อน ๆในกลุ่มไรเดอร์เพื่อขอคำชี้แนะเส้นทางในการเดินทาง
นายนิรันดร์ กล่าวอีกว่า ปัจจุบันมีกลุ่มมิจฉาชีพรับซื้อรับขายบัญชีธนาคารเป็นจำนวนมาก หากคนไม่มีประสบการณ์เผลอหลงเชื่อตามคำหลอกลวงของมิจฉาชีพจะเกิดความเสียหายตามมาภายหลังมากกว่าที่คิด ให้ดูกรณีของตนเป็นกรณีศึกษา ซึ่งถ้าเป็นไปได้ตนก็อยากให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งกระทรวงดิจิตอลและตำรวจไซเบอร์เร่งปิดกลุ่มมิจฉาชีพเหล่านี้ในเฟซบุ๊ก และอยากให้ช่วยสืบหาต้นต่อของมิจฉาชีพที่หลอกให้ตนเปิดบัญชีให้ไปด้วยว่า เงินจำนวนเหล่านี้ถูกโอนต่อไปยังปลายทางที่ไหนด้วยเพื่อติดตามนำกลับมาคืนให้ผู้เสียหายทั้งหมด อย่าให้พวกนี้สบายบนความลำบากของคนอื่น เหมือนครอบครัวตนที่กำลังเผชิญหน้ากับเรื่องนี้ ซึ่งถ้าหากตนย้อนเวลาได้ตนคงไม่ตัดสินใจแบบนั้นแน่นอน คงจะคิดได้รอบคอบมากกว่านี้
ข่าวที่เกี่ยวข้อง