ข่าว

อาจารย์มข.เขียนบทความโต้ 'เพ็ญศรี' เผยสาวอีสาน(ไม่)รอรัก

เกาะติดข่าวสาร >> คมชัดลึก ออนไลน์
logoline

อาจารย์มหาวิทยาลัยขอนแก่นทนไม่ไหว เขียนบทความตอบโต้คอลัมนิสต์ชื่อดังมติชนสุดสัปดาห์หลังจากเขียนบทความดูถูกสาวอีสาน ระบุสาวอีสานไม่รอรัก แต่ทุกอย่างต้องดิ้นรนไขว่คว้าเพราะโอกาสของคนไม่เท่ากัน

 

 

 

 

           บทความ - สาวอีสาน (ไม่) รอรัก

         โดย - ผศ.ดร. ชมนาด บุญอารีย์  นักวิชาการมหาวิทยาลัยขอนแก่น (มข.) 

       หมายเหตุ  ทัศนะและเนื้อหาที่ปรากฏในวารสารเป็นทัศนะส่วนบุคคลของผู้เขียน ไม่ถือเป็นทัศนะและความรับผิดชอบของต้นสังกัด

 

        อาจารย์มข.เขียนบทความโต้ 'เพ็ญศรี' เผยสาวอีสาน(ไม่)รอรัก

 

             ช่วงสัปดาห์สุดท้ายของปี พ.ศ. 2562 ที่ผ่านมามีเหตุการณ์เชิงสังคมที่เกิดขึ้นบนโลกออนไลน์ คือ บทความเกี่ยวกับนิสัยของผู้หญิงอีสาน ซึ่งมีเสียงตอบรับทั้งน้ำตาจากผู้หญิงอีสานที่ถูกนำรูปเธอซึ่งมีผิวคล้ำกับสามีผิวขาวชาวฝรั่งเศสมาประกอบบทความโดยไม่ได้รับอนุญาต (คมชัดลึก, 2562) และผู้ชาย (พิเชฐ แสงทอง, 2562) ซึ่งแสดงทัศนะไว้ว่า  

 

            “...จะพบ “อคติ” ตลอดจน “มายาคติ” ต่างๆ เต็มไปหมดทั้งชิ้น ราวกับคุณเพ็ญศรีผู้เขียนบทความนั่งมโนถึงวัฒนธรรมเมียฝรั่งในชุมชนอีสาน ผ่านมุมมองหรือโลกทัศน์แบบชนชั้นกลางของคุณเพ็ญศรีเอง และใช้เกณฑ์ประเมินค่าจากจุดยืนดังกล่าวเป็นเกณฑ์การตัดสินการกระทำของผู้หญิงอีสาน คุณเพ็ญศรีพูดถึงศักดิ์ศรีของความเป็นผู้หญิง ศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์ที่จะไม่ลดตัวลงไปเป็นสินค้า ซึ่งก็เป็นคติแบบชนชั้นกลาง นำมาสอดส่องประเมินค่าผู้หญิงชาวบ้านในสังคมอีสาน ที่ย่อมมีวิธีคิดเกี่ยวกับศักดิ์ศรีอีกแบบหนึ่ง นั่นก็คือ ความสามารถที่ตนเองเลี้ยงดูพ่อแม่ลูกหลานได้ ย่อมแสดงถึงศักดิ์ศรีที่น่าปรารถนากว่า ซึ่งแน่นอนว่าศักดิ์ศรีแบบนี้ย่อมเป็น “ปฏิปักษ์” กับศักดิ์ศรีของผู้หญิงชนชั้นกลางแบบคุณเพ็ญศรี คุณเพ็ญศรีจึงตัดสินว่านั่นเป็นสิ่งที่น่าเศร้าและน่าละอาย ลักษณะการประเมินค่าของคุณเพ็ญศรีจึงมีลักษณะเหมารวม…”

 

          เหตุการณ์ที่แสดงทัศนคติเชิงลบอย่างชัดแจ้งต่อผู้หญิงอีสาน 11 ล้านคน ในประเทศที่มีประชากรหญิง 33 ล้านคน (สำนักงานสถิติแห่งชาติ, 2562) เป็นเรื่องที่น่าขัดเคืองใจสำหรับดิฉันในฐานะผู้หญิงอีสาน และน่าสนใจในฐานะนักวิชาการในคณะที่มีการศึกษาเรื่องนี้อย่างจริงจังมาเป็นเวลากว่า 20 ปี (คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น) ล่าสุดดุษฎีนิพนธ์ของ ผศ.ดร. พัชรินทร์ ลาภานันท์ (สาขา  Anthropology  จาก Vrije University Amsterdam) ที่ศึกษาเรื่องนี้และให้มุมมองใหม่ๆ ซึ่งมีคุณค่าในระดับนานาชาติในจนได้รับการจัดพิมพ์โดย National University of Singapore Press  ในชื่อ Love, Money and Obligation: Transnational Marriage in a Northeastern Thai Village (2019)

 

 

 

             หลังบทความที่แสดงวิธีคิดเชิงคุณค่าแบบเหมารวมของหญิงชนชั้นกลางออกมา ก็มีคลิปและบทความจากหลายแหล่ง เช่น ประชาไท, The Matters, The Isaan Record และ Workpointnews ที่นำเสนองานวิจัยต่างๆ ที่มองอย่างรอบด้านขึ้น  ในที่นี้ ดิฉันจะไม่กล่าวถึงว่า ทำไมสาวอีสานจึงแต่งงานกับฝรั่ง แต่งแล้วดีหรือไม่อย่างไร แต่อยากถามสังคมว่า เรามาถึงจุดนี้กันได้อย่างไร  และจากจุดนี้ เราจะไปไหนกันดี  

 

             จุดนี้คือจุดที่เราไม่ได้เพียงห่างกันด้วยความเหลื่อมล้ำ 9 เท่าของรายได้เฉลี่ยของคนกรุงกับคนอีสาน (ไทยรัฐออนไลน์, 2562)  แต่ยังห่างไกลจากความเข้าใจเพื่อนร่วมชาติซึ่งเป็นหญิงอีสานจำนวนไม่น้อย ที่ดิฉันพูดได้อย่างนี้ เพราะแค่เป็นคนอีสานที่มีการศึกษา (ยังไม่ได้เป็นเมียฝรั่ง) ยังเคยพบทัศนะคติเหยียดคนอีสานจากคนไทยภาคกลาง ทั้งเมื่อตอนที่จากอุบลราชธานีบ้านเกิดเข้ากรุงฯ มาเรียนที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์เมื่อปี พ.ศ. 2536 จนไปเรียนปริญญาเอกที่ประเทศนิวซีแลนด์เมื่อไม่กี่ปีมานี้

 

         มีสองสามสิ่งที่ดิฉันพยามอธิบายกับตนเองว่า ทำไมคนภาคอื่นโดยเฉพาะคนกรุงเทพฯ ถึงดูถูกคนอีสาน ภาพดินแตกระแหงของอีสานในโฆษณาเมื่อ 30 ปีที่แล้วก็คงมีส่วน เพลงสาวอีสานรอรักยิ่งตอกย้ำความต้อยต่ำงั้นหรือ ดิฉันยังนึกย้อนไปถึงงานเขียนเรื่อง สวนสัตว์ ของสุวรรณี สุคนธา ที่กล่าวถึงมารดาว่าเป็นคนเหนือและถูกรังเกียจจากคนภาคกลางซึ่งไม่ไว้ผมยาว นุ่งผ้าซิ่น และกินข้าวเหนียว ว่า “เป็นลาว”  ดังนั้น ไม่ว่าลาวล้านนาหรือล้านช้างก็ดูจะโลโซทั้งสิ้น 

     

        ถ้าจะดูจากงานวิชาการซึ่งอธิบายถึงที่มาของความต่ำต้อยของคนอีสาน ความยิ่งใหญ่ของวัฒนธรรมเมืองหลวงของกรุงเทพฯ และการเลือกปฏิบัติต่อชาวอีสานนั้นฝังรากลึกในความคิดของคนไทยซึ่งเป็นบรรทัดฐาน  สำหรับทั้งคนอีสานและคนที่ไม่ใช่ชาวอีสาน Myers (2005) ศึกษาเกี่ยวกับประสบการณ์ซึ่งหล่อหลอมอัตลักษณ์ของชาวอีสานในช่วงปี พ.ศ. 2507-2547 เขายกตัวอย่างประสบการณ์ของชายชาวอีสานที่เป็นคนมีการศึกษา ที่แม้ปัจจุบันเขาจะอพยพไปทำงานและอาศัยอยู่ในประเทศออสเตรเลีย และแม้ว่าบิดามารดาของเขาจะเป็นครูซึ่งเป็นชนชั้นกลางในสังคมชนบทอีสานที่เขาเกิดมา เขาก็ได้เน้นถึงลักษณะที่คนอีสานยอมสยบต่อคนและวัฒนธรรมเมืองหลวงของกรุงเทพฯ ดังนี้

 

          “ผมได้รับการสอนเสมอว่าการที่คนกรุงเทพฯ จะรังเกียจคนอีสานเป็นเรื่องที่ยอมรับได้ว่าวัฒนธรรมชั้นสูงของคนไทย (ภาคกลาง) นั้นเป็นบรรทัดฐานของสังคม และคนอีสานจะไม่มีวันได้รับการยอมรับว่าร่ำรวยมั่งคั่งและได้การยอมรับทางสังคมหากพวกเขายังคงเอกลักษณ์อีสาน (Myers, 2005 น. 66)” (I had always been taught that the Bangkokian disdain for Isan people is acceptable, that the Thai cultural superiority is a norm, and that Isan people will never reach the status of economic prosperity and social acceptance if they retain their Isanian identities (Myers, 2005, p. 66).
ที่มาที่ไปของการกดและเหยียดคนอีสาน หาอ่านได้จากงานของ Keyes (2003; 2014)

 

           เขายืนยันว่าการเปิดโรงเรียนประถมศึกษาในปี พ.ศ. 2440 ซึ่งไม่เหมาะสมกับวิถีชีวิตของชาวอีสานดั้งเดิมนั้น ได้สร้าง “กรอบอ้างอิงของคนไทย” เพื่อให้ชาวบ้านที่อาศัยในดินแดนอีสานที่แยกตัวห่างไกลจากเมืองหลวงมีจิตสำนึกแห่ง “ชาติ” และความภักดีต่อชาติไทย การปฏิรูปการศึกษาร่วมกับการปฏิรูปการปกครองแบบรวมศูนย์และการปฏิรูปการขนส่งทำให้ชาวอีสานเดินทางไปยังเมืองหลวงได้ง่ายขึ้น และทำให้พวกเขาตระหนักว่าอนาคตของพวกเขาอยู่ภายใต้การตัดสินใจของกรุงเทพฯ สิ่งสำคัญที่สุดคือ

 

           นวัตกรรมสมัยใหม่เหล่านี้  “เริ่มทำให้ชาวอีสานตระหนักว่าวัฒนธรรมท้องถิ่นและรูปแบบการใช้ชีวิตของพวกเขานั้นด้อยกว่าของคนไทยภาคกลาง” (Keyes, 2014, น. 63) ในขณะที่การต่อต้านอำนาจจากส่วนกลางของไทยนั้นชัดเจนจากยุค 1920 (กบฏผีบุญ) แต่ความรู้สึกที่ผสมปนเปกันและทัศนคติที่สับสนต่อวัฒนธรรมอีสานของพวกเขาเองก็ค่อยๆ เพิ่มขึ้นเนื่องจากทัศนคติของ “ผู้เหนือกว่า” ซึ่งเป็นตัวแทนจากรัฐไทยจากภาคกลาง

 

         ในเชิงประวัติศาสตร์ 100 กว่าปีที่ผ่านมาตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 5 นับแต่การบูรณาการภูมิภาคต่างๆ เข้ากับสยามสมัยใหม่ การเพิ่มขึ้นของชาตินิยมชนชั้นสูง (elite nationalism) การป้องกันการขยายตัวของพรรคคอมมิวนิสต์ นโยบายการพัฒนา และการพัฒนาอุตสาหกรรมทุนนิยมหลังจากปี 1960 เป็นเหตุที่ผลักดันให้ชาวอีสานหลายล้านคนกลายเป็นแรงงานอพยพชั่วคราวในกรุงเทพฯ (Keyes, 2014; Wyatt, 1969)

 

        ความรู้สึกที่ด้อยกว่าของชาวอีสานในชนบทมักเกิด จากการกดขี่โดยเจ้าหน้าที่ไทยในบ้านเกิดของพวกเขาและทัศนคติของคนกรุงเทพฯ ในเมืองที่มองว่าพวกเขาเป็นพวกคนต่างจังหวัด ชาวอีสานมักเรียกตัวเองอย่างถ่อมตนว่าเป็น “ชาวบ้าน” และเรียกผู้มีอำนาจหรือมีการศึกษาสูงกว่าว่า “เจ้านาย”  (Keyes, 2014, น. 110)

 

        นอกจากนี้ Myers (2005) ระบุด้วยว่า50 ปีที่ผ่านมาคนอีสานได้ดิ้นรนเพื่อแสวงหาโอกาสทางเศรษฐกิจและกลายเป็น “ชนชั้นแรงงานที่ได้รับการยอมรับอย่างเป็นทางการของประเทศไทย” (น. vi) ดังนั้นสถานะทางสังคมของคนอีสานจึงยังคงอยู่ในระดับต่ำและความท้าทายในการยอมรับตัวตนจะดำเนินต่อไป 

 

         ดิฉันอยากใช้โอกาสที่เกิดการแสดงทัศนะเหยียดคนอีสานอย่างเป็นลายลักษณ์อักษรในสื่อสาธารณะแสดงทัศนะของผู้หญิงอีสานคนหนึ่งว่า คนอีสานจำนวนมากนั้นเป็นนักสู้และมุ่งมั่นดิ้นรนทุกวิถีทาง เพื่อยกสถานภาพในสังคม การเหมารวมว่า ผู้หญิงอีสานไม่ตั้งใจเล่าเรียนและสบายใจที่ทำตัวเป็นสินค้าอย่างไร้ศักดิ์ศรีนั้นไม่จริงอย่างยิ่ง โอกาสของชีวิตในประเทศที่มีความเหลื่อมล้ำสูงแห่งนี้ไม่เท่ากัน สามารถหาดูหรืออ่านเพิ่มเติมจากคำวิจารณ์เรื่อง Heartbound ได้ (เช่น โลกของ ‘เมียฝรั่ง’ เรื่องเล่าที่ไม่มีผู้ชายอีสาน ในสังคมที่ไม่มีอนาคต ของวรรจนา วัลยางกูล) 

 

         มีครอบครัวอีสานจำนวนไม่น้อยที่ต่อสู้กับความยากจนได้สำเร็จและจำนวนมากไม่สำเร็จ ในช่วงเวลา 100 ปีที่ผ่านมาในครอบครัวชาวนาอีสานของทั้งฝ่ายพ่อและแม่ของดิฉัน ดิฉันได้เห็นความมุ่งมั่นดิ้นรนตั้งแต่รุ่นปู่ย่าตายายและของทั้งผู้หญิงและผู้ชายในการใช้การศึกษาเป็นบันไดเพื่อปีนหนีจากความยากจนและออกจากหมู่บ้านเข้ามาอยู่ในเมือง

 

        นอกจากนี้ ในการไปสัมภาษณ์เพื่อทำวิจัยระดับปริญญาเอก ดิฉันก็ได้เห็นคนอีสานหลายคนที่ขาดโอกาสในการเรียนไปด้วยเหตุต่างๆ และต่อมาขวนขวายเรียน กศน. ดังนั้น เมื่อมีชาวต่างชาติถามเกี่ยวกับผู้หญิงหากินเมืองไทย ดิฉันจึงมักตอบว่า ถ้าบรรพบุรุษไม่หัวก้าวหน้ามากจนส่งลูกสาวทุกคนไปโรงเรียนเมื่อเกือบร้อยปีก่อน (คุณป้าขี่ม้าไปเรียนหนังสือเมื่อ 90 ปีก่อน) และมานะพากเพียรแบบเลือดตาแทบกระเด็น ตอนนี้ดิฉันก็อาจจะไปทำงานที่พัทยาหรือภูเก็ตก็ได้ โอกาสคนเราไม่เท่ากัน โดยเฉพาะคนที่หย่าร้างซึ่งบทความอื่นๆ ได้กล่าวถึงอย่างชัดเจนไปแล้ว
 

 

 

             หากจะหมุนให้ทันโลก inclusiveness หรือการนับรวม/คำนึงถึงคนทุกกลุ่มในสังคม คือคำตอบของโลกยุคนี้ ไม่มีประโยชน์ที่จะมามัวแยกเขาแยกเราในโลกอนาคตที่จะหมุนไปด้วยความแตกต่างหลากหลาย  

 

          “เจาะเทรนด์โลก 2020” โดย TCDC (2562) ระบุว่า ในอนาคตอันใกล้ คืออีกเพียง 20 ปีข้างหน้า ในปี ค.ศ.2040 การแต่งงานข้ามเชื้อชาติจะเพิ่มทวีจนคนผิวขาวจะกลายเป็นคนกลุ่มน้อยทั้งในสหรัฐอเมริกาและในยุโรป ในประเทศไทยเองการแต่งงานข้ามเชื้อชาติก็มีความเป็นไปได้สูงขึ้นเนื่องจากจำนวนหญิงไทยได้เพิ่มมากขึ้นกว่าประชากรชายอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ ปี 2503 จนในปี 2561 ประชากรหญิงไทยมีมากกว่าประชากรชายถึง 1.3 ล้านคน (PPTV Online, 2561) 

 

         สาวอีสานทั้งจนรวยยุคนี้ไม่ได้รอรัก แต่มีบุคลิกลักษณะที่ตรงกับความต้องการของชาวต่างชาติ ผิวคล้ำที่ถูกมองว่าไม่ดีอย่างฝังรากลึกในวัฒนธรรมไทย (Purnell, 2013) และความเป็นนักสู้อาจทำให้เธอมีสิทธิ์เลือกกำหนดชะตาชีวิตตนเองไม่ว่าจะสร้างครอบครัว เรียน อพยพย้ายถิ่น หรือทำงานในต่างประเทศ มากกว่าเป็น “สาวอีสานรอรัก” ที่นั่งรอความรักจากชายไทยที่ไม่ชอบรูปลักษณ์และดูถูกชาติพันธุ์ของเธออย่างห่อเหี่ยวไปวันๆ 

 

           จากจุดนี้ เราจะไปไหนกัน?  หากจะสร้างสังคมสมานฉันท์ คนไทยควรปรับความคิดที่ฝังมาเป็นร้อยปี หากไม่ปรับวันนี้ ภายใน 20 ปี  เมื่อเกือบทุกครอบครัวไทยไม่ว่าจะชนชั้นไหนมีลูกหลานสมรสกับชาวต่างชาติไม่ชาติใดก็ชาติหนึ่ง ถึงเวลานั้นเราจะเรียกสุภาพสตรีเหล่านั้นว่าอย่างไร เมียสิงคโปร์ เมียญี่ปุ่น เมียจีน เมียเกาหลี เมียอิสราเอล คงวุ่นวายพิลึก  

 

         จากจุดนี้ เราเรียนรู้อะไร? เราทำบางอย่างในระบบการศึกษาได้ไหม เช่น สอนเกี่ยวกับความเห็นอกเห็นใจกันในชั้นเรียนตั้งแต่อายุ 6 ถึง 16 ปี เหมือนในประเทศเดนมาร์ก (Menezes, 2019)

 

        ในวันนี้ หากภาพลักษณ์ของผู้หญิงอีสานเป็นอีกรูปร่างและความสามารถ เช่น เรียนจบปริญญาโท หรือขั้นสุด คือ สวยมากความสามารถแบบนักร้องสาววง Blackpink เราคงต้องยอมรับว่า เราจะไม่บังอาจตัดสินเธอ ไม่ว่าเธอจะเลือก Kill This Love, Save This Marriage หรือแต่งงานกับผู้ชายคนไหนบนโลกใบนี้ การที่ผู้หญิงได้ตัดสินใจเองว่าจะแต่งงานหรือไม่แต่ง หรือเลือกแต่งกับใครหรือไม่แต่งกับใคร เป็นสิทธิของผู้หญิงและถือเป็นศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์ การแต่งงานกับชาวต่างชาติถ้าผู้หญิงเลือกเองไม่ได้ถูกบังคับ ถือว่ามีศักดิ์ศรี

 

         คำถามท้ายสุดสำหรับคนชั้นกลาง เราควรถามตัวเองว่า หากเรามีการศึกษาน้อยนิด มีรูปร่างหน้าตาที่ไม่ใช่สเปคหนุ่มไทย อยู่ในสังคมที่ไม่มีอนาคตสำหรับเรา พูดภาษาอื่นได้อย่างจำกัด เลือกงานไม่ได้ และไม่ได้ใช้ความรักเป็นปัจจัยหลักของชีวิต เราจะกล้าออกจาก comfort zone ด้วยต้นทุนชีวิตอันน้อยนิด แล้วยังกล้าพอที่จะแต่งงานไปอยู่ในวัฒนธรรมอื่นและต่อสู้ชีวิตเพื่อประโยชน์ของตนเองและคนข้างหลังหรือไม่?


     ------ 

รายการอ้างอิง

คมชัดลึก. (2562). สาวถูกนักเขียนดังขโมยภาพไปประกอบบทความเหยียดผู้หญิงอีสาน. ค้นข้อมูล https://www.komchadluek.net/news/hotclip/406720

ไทยรัฐออนไลน์. (2562). ธนาคารแห่งประเทศไทยเปิดผลศึกษา ความเหลื่อมล้ำของไทย จน-รวย ห่างกัน 10.3 เท่า. ค้นข้อมูล https://www.thairath.co.th/news/business/1723501

พิเชฐ แสงทอง. (2562).  กรณี “เพ็ญศรี เผ่าเหลืองทอง” กับเฮือกสุดท้ายของคอลัมนิสต์ในวัฒนธรรม “สื่อเก่า”.  ค้นข้อมูลhttps://mgronline.com/south/detail/9620000122857

สำนักงานสถิติแห่งชาติ. (2562). จำนวนประชากรกลางปี จำแนกตามเพศ ภาค และจังหวัด (จากกระทรวงสาธารณสุข) พ.ศ. 2552 – 2561. ค้นข้อมูล http://statbbi.nso.go.th/staticreport/page/sector/th/01.aspx

Keyes, C. F.  (2003). The politics of language in Thailand and Laos. In M. Brown & S. Ganguly (Eds.), Fighting words: Language policy and ethnic relations in Asia (pp. 177–210). Cambridge, MA: MIT Press.

--------. (2014). Finding their voice: Northeastern villagers and the Thai state. Chiang Mai, Thailand: Silkworm Books.

Menezes, F. (2019).  In Denmark, empathy classes are part of the National Curriculum. Retrieved from https://brightvibes.com/1556/en/in-denmark-empathy-classes-are-part-of-the-national-curriculum?fbclid=IwAR3dwnG-SfxI_3jHjsdNISAPKlt8nRVLQprN-jLFcdN2MtTXiZQ5mLRTSog

Myers, R. L. (2005). The Isan Saga: The inhabitants of rural Northeast Thailand and their struggle for identity, equality and acceptance (1964–2004). (Master of Arts in Asian Studies, San Diego State University, USA).

PPTV Online. (2561). เสี่ยง "คนไร้คู่พุ่ง" เหตุหญิงมากกว่าชาย 1.29 ล้าน. ค้นข้อมูล https://www.pptvhd36.com/news/%E0%B8% 9B%E0 %B8%A3%E0%B8%B0%E0%B9%80%E0%B8%94%E0%B9%87%E0%B8%99%E0%B8%A3%E0%B9%89%E0% B8%AD%E0%B8%99/76591

Purnell, N. (2013). Images spark racism debate in Thailand. Retrieved from https://www.newyorker.com/business/currency/images-spark-racism-debate-in-thailand

TCDC (2562).  เจาะเทรนด์โลก 2020: Positive Power. ค้นข้อมูล   https://web.tcdc.or.th/th/Publication/Detail/Trend2020-Positive-Power

Wyatt, D. K. (1969). The politics of reform in Thailand: Education in the Reign of King Chulalongkorn. New Haven: Yale University Press.

 

      โดย จิติมา จันพรม ผู้สื่อข่าวภูมิภาค ประจำจังหวัดขอนแก่น

 

logoline

ข่าวที่น่าสนใจ