จังหวัดเดียวในเมืองไทย!! ส.ส.เมืองคอนร่วมประเพณีให้ทานไฟวัดโพธิ์เสด็จ-ต้นแบบการสืบสานประเพณีครั้งพุทธกาลเหลือจังหวัดเดียวในเมืองไทย
เมื่อเวลา 05.00 น.วันที่ 4 ม.ค. 2563 ที่ลานหนามณฑปหลวงพ่อสมภาร วัดโพธิ์เสด็จ หมู่ 8 ต.โพธิ์เสด็จ อ.เมือง จ.นครศรีธรรมราช พุทธศาสนิกชนกว่า 500 คนได้ร่วมกันจัดกิจกรรมประเณีให้ทานไฟ โดยมีพระราชวิสุทธิกวี เจ้าคณะจังหวัดนครศรีธรรมราช (ธรรมยุติ) นำคณะพระภิกษุสงฆ์จากวัดต่าง ๆ ในจังหวัดนครศรีธรรมราชกว่า 50 รูปเข้าร่วมกิจกรรม นอกจากนี้ยังมี รศ.ดร.รงค์ บุญสวยขวัญ ส.ส.เขต 1 พรรคพลังประชารัฐ จ.นครศรีธรรมราช ในฐานะรองประธานคณะกรรมาธิการการศาสนา ศิลปะ วัฒนธรรมและการท่องเที่ยว เข้าร่วมกิจกรรมพร้อมประกอบอาหารถวายพระภิกษุด้วย
โดยคณะพุทธบริษัทได้ร่วมกันก่อกองไฟขนาดใหญ่ขึ้น 1 กอง เพื่อให้ความอบอุ่น ก่อนจะแยกย้ายกันไปเป็นหมู่คณะ หรือครอบครัวทำการประกอบอาหารชนิดต่าง ๆ กว่า 50 ชนิด และนำไปถวายพระภิกษุให้ได้ฉันภัตตาหารที่เพิ่งปรุงเสร็จใหม่ ๆ ยังร้อน ๆ หรืออุ่น ๆ อยู่ ซึ่งถือเป็นการร่วมทำบุญในทางพระพุทธศาสนาอย่างหนึ่งที่ชาวนครศรีธรรมราชยึดถือและปฏิบัติสืบทอดกันมาตั้งแต่สมัยพุทธกาล และในปัจจุบันมีเพียงจังหวัดนครศรีธรรมราชเพียงจังหวัดเดียวในประเทศไทยเท่านั้นที่ยังคงปฏิบัติสืบทอดกันมาเป็นประจำทุกปี
พระราชวิสุทธิกวี เจ้าคณะจังหวัดนครศรีธรรมราช (ธรรมยุติ) กล่าวสัมโมทนียคาถา ว่าประเพณีการให้ทานไฟ เป็นประเพณีต้นแบบเฉพาะของพุทธศาสนิกชนชาวจังหวัดนคร ศรีธรรมราช ที่ได้ปฏิบัติสืบต่อกันมาเป็นระยะเวลาที่ยาวนาน การให้ทานไฟนี้ เป็นการถวายอาหารร้อน ๆ แก่พระภิกษุสามเณรในฤดูหนาวหรือในช่วงอากาศเย็นของชาวนครศรีธรรมราช นับเป็นภูมิปัญญาของชาวบ้านที่มีความเชื่อในพระพุทธศาสนา ต้องการทำบุญกับพระภิกษุสามเณร โดยการปรุงอาหารถวายอาหารบิณฑบาตภายในวัด เนื่องจากในช่วงนี้อากาศหนาวเย็น พระภิกษุสามเณรไม่สะดวกที่จะออกไปบิณฑบาตนอกวัด จึงกลายเป็นประเพณีใหั้ทานไฟในปัจจุบัน
“โดยการให้ทานไฟ เป็นประเพณีเฉพาะถิ่นของพุทธศาสนิกชนชาวนครศรีธรรมราช ที่มีศรัทธาในพระพุทธศาสนาก่อไฟให้ความอบอุ่นและปรุงอาหารร้อน ๆ ถวายแก่พระภิกษุสามเณรตอนเช้ามืดที่อากาศหนาวเย็นจนกลายเป็นประเพณีสืบต่อกันมา”
เจ้าคณะจังหวัดนครศรีธรรมราช (ธรรมยุติ )กล่าวว่า ประวัติความเป็นมาของประเพณีให้ทนไฟนั้น มีประวัติความเป็นมาซึ่งมีเรื่องราวเล่าว่า ในเมืองราชคฤห์ มีเศรษฐีคนหนึ่งชื่อ "โกสิยะ" มีทรัพย์สิน 80โกฏิ แต่เป็นคนตระหนี่ ไม่ให้ทาน ไม่บริจาค ไม่อำนวยประโยชน์แก่ผู้ใดเลย แม้แต่ภรรยาและบุตรของตนเอง ต่อมา เศรษฐีโกสิยะต้องการกินขนมเบื้อง (ขนมกุมมาส) จึงให้ภรรยาไปแอบทำขนมบนปราสาท เพราะเกรงว่าผู้อื่นจะรู้เห็นแล้วจะมาขอแบ่งขนมกินด้วย ความนี้ได้ทราบถึงพระพุทธเจ้า เพื่อจะโปรดเศรษฐีให้มีใจน้อมไปในการบริจาคทานจึงได้มอบหมายพระโมคคัลลานเถระ อัครสาวกเบื้องซ้ายไปโปรดโกสิยเศรษฐีผู้มีความตระหนี่คนนี้ เมื่อพระเถระรับพุทธบัญชาแล้วก็ไปแสดงอิทธิฤทธิ์ทรมานเศรษฐีด้วยวิธีการต่าง ๆ จนในที่สุดเศรษฐีคลายความพยศ และได้ถวายขนมเบื้องแก่พระเถระ เพราะกลัวไฟจะไหม้ปราสาทของตนด้วยอิทธิฤทธิ์ของโมคคัลลานเถระ เมื่อเศรษฐีถวายขนมเบื้องแล้ว โมคคัลลานเถระ ได้แสดงพระธรรมโดยพรรณนาคุณพระรัตนตรัย และแสดงให้เห็นถึงอานิสงส์การให้ทาน จนเศรษฐีมีจิตเลื่อมใสได้นำขนมเบื้องและวัตถุทานอื่น ๆ มาถวายแก่พระพุทธเจ้า พร้อมด้วยพระภิกษุ 500 รูป ณ วัดเชตวันมหาวิหาร ด้วยพุทธานุภาพขนมเบื้องที่เศรษฐีนำมาถวายพระมีเหลือมากมาย แม้จะนำไปแจกจ่ายแก่ชาวบ้าน คนยากจนขอทาน ขนมก็ยังล้นเหลือ จนถึงกับต้องนำไปเททิ้งที่ใกล้ซุ้มประตูวัดเชตวัน ซึ่งปัจจุบันสถานที่เทขนมเบื้องทั้งนั้น เรียกว่า เงื้อมขนมเบื้อง และกาลต่อมาโกสิยเศรษฐี กลายเป็นเศรษฐีใจบุญชอบให้ทาน และได้บริจาคทรัพย์จำนวนมากเพื่อทำนุบำรุงพระพุทธศาสนา ด้วยมูลเหตุดังกล่าวจึงเป็นที่มาของประเพณีการให้ทานไฟในปัจจุบัน
ทางด้าน รศ.ดร.รงค์ บุญสวยขวัญ กล่าวว่า ในส่วนของวัน เวลา และสถานที่ในการประกอบพิธีให้ทานไฟ นิยมประกอบพิธีกันในเดือนอ้าย หรือ เดือนยี่ของทุก ๆ ปี (ประมาณปลายเดือนธันวาคมถึงต้นเดือนกุมภาพันธ์) ซึ่งเป็นช่วงหรือฤดูที่อากาศหนาวเย็นใน ภาคใต้ ปัจจุบันนิยมทำกันในวันเสาร์ที่ 2 ของเดือนมกราคม เพราะตรงกับวันเด็กแห่งชาติ ทางสถานศึกษาได้นำเด็ก ครู และผู้ปกครองมาประกอบพิธีให้ทานไฟในบริเวณวัดที่ใกล้โรงเรียน นับ เป็นกิจกรรมเสริมหลักสูตรของเด็กที่เกี่ยวกับพระพุทธศาสนาด้วย ทั้งนี้จะเตรียมวัสดุ อุปกรณ์ต่าง ๆ ในการประกอบอาหารแต่ละชนิด เริ่มรุ่งหรือเช้าตรู้ประมาณเวลา 05.00 น. แต่ โดยทั่วไปก็ไม่ได้กำหนดวันที่ แน่นอน สุดแต่ความสะดวกของชาวบ้านหรือโรงเรียนในละแวกวัดจะกำหนดขึ้นเอง และจะกระทำกันในบริเวณวัดหรือในศาลาวัดก็ได้ ในปัจจุบัน ประเพณีการให้ทานไฟนี้จะทำกันเฉพาะบางวัดในเขตอำเภอเมืองนครศรีธรรมราชเท่านั้น เช่น วัดพระมหาธาตุวรมหาวิหาร วัดโพธิ์เสด็จ วัดหัวอิฐ วัดมุมป้อม วัดศรีทวี วัดสระเรียง วัดหน้าพระบรมธาตุ วัดธาราวดี เป็นต้น นอกจากนี้ในบางจังหวัดในภาคใต้ที่ผู้คนชาวนครศรีธรรมราชไปอาศัยอยู่ เช่น จังหวัดพังงา จังหวัด สุราษฎร์ธานี ก็มีประเพณีการให้ทานไฟเช่นเดียวกัน แต่ก็มีจำนวนน้อยมาก
“นอกจากนี้ สถาบัน การศึกษาบางสถาบัน ได้ประกอบพิธีการให้ทานไฟภายในสถาบันของตน เช่น มหาวิทยาลัยราชภัฏ นครศรีธรรมราช วิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี เป็นต้น ซึ่งจะสังเกตได้ว่า ประเพณีการให้ทานไฟนอกจากจะประกอบพิธีภายในวัดแล้วยังได้ขยาย ฐานประเพณีไปยังสถานศึกษาที่แสดงบทบาทในการทำนุบำรุงพระพุทธศาสนาแม้ในปัจจุบันเหลือวัดจำนวนน้อยมากที่จะจัดกิจกรรมประเพณีให้ทานไป แต่พุทธศาสนิกชนมุ่งมั่น ตั้งใจที่จะอนุรักษ์หรือสืบสานประเพณีการให้ทานไฟเอาไว้ให้ได้”รศ.ดร.รงค์ บุญสวยขวัญ กล่าว
ผู้สื่อข่าวรายงานว่าพุทธศาสนิกชนที่มาร่วมกิจกรรมจะแลกเปลี่ยนและเลือกรับประทานอาหารที่ปรุงทุกเจ้าได้ โดยบางส่วนจะมอบเงินเหมือนเป็นค่าอาหารให้ตามความสมัครใจ ไม่จำกัดจำนวนเงิน จากนั้นแต่ละเจ้าจะเก็ยรวบรวมเงินปัจจัยไปถวายวัด เพื่อนำไปเป็นค่าน้ำ ค่าไฟและค่าใช้จ่ายอื่น ๆ ตามความจำเป็นของวัด ซึ่งในครั้งนี้สามารถรวบรวมเงินปัจจัยถวายวัดได้เกือบ 30,000 บาท.
ภาพ/คลิป ศูนย์ข่าวนคร 24 ชม.สมาคมสื่อมวลชนนครศรีธรรมราช
ยุทธนะ เตมะศิริ นครศรีธรรมราช
ข่าวที่เกี่ยวข้อง