ชาวนาอำเภอรัตนบุรีสุดระทม เจอโรคไหม้คอรวงข้าวระบาดหนัก ทำนาข้าวเสียหายกว่า 3,000 ไร่ ทุกหน่วงงานเร่งเข้าช่วยเหลือด่วน (มีคลิป)
เมื่อเวลา 16.00 น. วันนี้ ( 21 ต.ค. 2562 ) ที่ศาลาวัดโคกก่อง บ้านโคกก่อง ตำบลหนองบัวบาน อ.รัตนบุรี จ.สุรินทร์ ได้มีชาวบ้านในบ้านโคกก่องกว่า 200 คน มาร่วมรับฟังแนวทางแก้ไขปัญหาการระบาดของโรคไหม้คอรวงข้าว ที่กำลังระบาดในนาข้าวของชาวบ้านอยู่ในขณะนี้ จนเกิดความเสียหายไปนับพันไร่ โดยมีนายกิตติ สัตย์ซื่อ นายอำเภอรัตนบุรี ได้เดินทางมาติดตามดูสถานการณ์การช่วยเหลือในครั้งนี้ด้วย ซึ่งมี นายจิตกรวัฒน์ สาแก้ว เกษตรอำเภอรัตนบุรี มาให้คำแนะนำถึงแนวทางการแก้ไขและป้องกันโรคระบาดนี้ให้กับชาวบ้าน พร้อมทั้งกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน อีกทั้งยังมีเจ้าหน้าที่จากธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร มาชี้แจงถึงแนวทางการช่วยเหลือในด้านการประกันภัยให้กับลูกค้าของธนาคารอีกด้วย ก่อนที่จะออกไปดูพื้นที่นาข้าวที่มีการระบาด
โดยนายกิตติ สัตย์ซื่อ นายอำเภอรัตนบุรี ได้กล่าวว่า ในวันนี้ก็ได้ออกมาตรวจแปลงนาของเกษตรกรที่ประสบปัญหาเรื่องโรคไหม้คอรวง ซึ่งตอนนี้กำลังระบาดอยู่ที่ บ้านโคกก่อง ต.หนองบัวบาน อำเภอรัตนบุรีแห่งนี้ โดยทราบจากเกษตรกรว่าได้ระบาดเมื่อ 3 วันที่ผ่านมานี้ ซึ่งค่อนข้างจะแพร่ระบาดได้เร็ว แล้วก็เกิดความเสียหายต่อข้าวในนาของเกษตรกรค่อนข้างมาก ตอนนี้แนวทางแก้ไขของอำเภอรัตนบุรี ก็ได้ร่วมกับเกษตรอำเภอรัตนบุรี ก็ต้องยับยั้งเชื้อตัวนี้ให้ได้เร็วที่สุดและมากที่สุดเท่าที่ทำได้โดยเร็ว คือตอนนี้จะใช้เชื้อไตรโคเดอร์ม่าในการฉีดพ่น ซึ่งในตอนนี้ก็ได้มีการฉีดพ่นอยู่ 2 เครื่อง และก็จะรีบหาเชื้อนี้มาดำเนินการเป็นตัวยับยั้งให้ได้เร็วที่สุดในพื้นที่ ให้กว้างที่สุด แล้วก็ยับยั้งไม่ให้เชื้อโรคได้ระบาดออกไปถึงแปลงนาแปลงอื่น สำหรับปัญหาในช่วงนี้ก็คือเชื้อไตรโคเดอร์ม่าในอำเภอรัตนบุรีเรายังไม่เพียงพอ เราก็พยายามที่จะไปหามาจากอำเภออื่นที่เขามีเชื้อ แล้วเราก็จะดำเนินการเพาะเชื้อไตรโคเดอร์ม่า เพื่อที่จะยับยั้งเชื้อรา คือเชื้อชนิดนี้เป็นเชื้อราที่จะต้องยับยั้ง แล้วก็ไม่ให้กระจายตัวออกไปสร้างความเสียหายให้กับพี่น้องเกษตรกร ซึ่งเมื่อสักครู่ได้ไปดูอีกแปลงหนึ่ง ซึ่งมีการระบาดเพียง 3 วันนั้น ก็ได้สียหายไปทั้งแปลงอย่างสิ้นเชิง คือข้าวที่ออกรวงได้เสียหายไปทั้งหมด ซึ่งเกษตรกรเองก็รับทราบและเข้าใจดี และเกษตรกรเองก็พยายามที่จะแก้ไขปัญหาร่วมกันกับเจ้าหน้าที่รัฐที่มาช่วยเหลือ ซึ่งทางอำเภอเองก็พยายามที่จะหยุดและยับยั้ง แล้วก็ช่วยเหลือพี่น้องเกษตรกรในเรื่องของการระบาดของเชื้อโรคตัวนี้ให้ทันท่วงทีและอย่างรัดกุม แล้วก็โดยเร็วที่สุด
ด้าน นายจิตกรวัฒน์ สาแก้ว เกษตรอำเภอรัตนบุรี ก็ได้เปิดเผยว่า สำหรับสาเหตุของโรคนี้ก็เกิดจากเชื้อรา แล้วก็เกิดจากสภาพแวดล้อมที่เหมาะสม สภาพแวดล้อมที่เหมาะสมก็คือ กลางคืนมีน้ำค้างเยอะ กลางวันแดดร้อนจัดจึงทำให้เชื้อโรคนี้ระบาดได้ง่าย ขยายตัวได้เร็ว แล้วประกอบกับพันธุ์ข้าวที่เราปลูก คือข้าวหอมมะลิ 105 และ กข.15 ซึ่งเป็นพันธุ์ข้าวที่ไม่ต้านทางกับโรคไหม้ โรคไหม้นี้มีอยู่ในธรรมชาติอยู่แล้ว ขึ้นอยู่ที่ว่าจะระบาดมากระบาดน้อยเท่านั้น และขึ้นอยู่กับสภาพแวดล้อมที่เหมาะสม ก็คือกลางคืนมีน้ำค้างเยอะ และกลางวันมีแดดร้อนจัด แล้วก็โรคไหม้สามารถระบาดได้ทุกระยะของการเจริญเติบโตของข้าว ตั้งแต่ต้นกล้าจนถึงออกรวง สำหรับตอนนี้ที่เราประสบปัญหาก็คือ การไหม้คอรวง ถ้าเกิดในช่วงแตกกอก็จะเรียกว่าโรคใบไหม้ แต่พอมาเป็นในช่วงออกรวง ก็เรียกว่าไหม้คอรวง สร้างความเสียหาย สำหรับแปลงที่เป็นพันธุ์ กข.15 จำนวน 80 - 90 เปอร์เซ็นของหมู่บ้านนี้ประสบปัญหาเกิดความเสียหาย ซึ่งก็กำลังหาวิธีการที่จะระดมเงินว่าจะช่วยเหลือพี่น้องได้อย่างไร ช่วงนี้ท่านนายอำเภอก็ได้เดินทางมาดูด้วยความเป็นห่วง ทีมงานเกษตรอำเภอ ทีมงานของ อบต. และธกส. ทีมงานปกครองก็ลงมาช่วยเหลือกันอย่างเต็มที่ด้วยความเป็นห่วง
สำหรับแนวทางแก้ไข สำนักงานเกษตรอำเภอเราก็ได้สนับสนุนเชื้อไตรโคเดอร์ม่ามา 30 ถุง สามารถที่จะพ่นได้ 30 ไร่ แล้วพรุ่งนี้จะซื้อมาจากอำเภอศรีณรงค์อีก 320 ถุง สามารถที่จะฉีดพ่นได้ 320 ไร่ แล้ววันพรุ่งนี้ก็จะไปเลี้ยงเชื้อ จะไปเพาะเชื้อก็จะใช้ได้อีก 7 วัน ซึ่งเราก็จะทำเต็มที่ น่าจะครอบคลุมพื้นที่สักพันกว่าไร่ ที่เรามีเพาะเชื้ออยู่แล้ว ซึ่งโรคนี้สามารถความคุมไม่ให้กระจายได้ สำหรับในส่วนที่เป็นแล้วตายแล้วก็ไม่สามารถแก้ไขอะไรได้แล้ว เราทำได้อย่างเดียวก็คือการควบคุมไม่ให้กระจายออกไป ซึ่งเราก็พยายามเต็มที่ ที่จะควบคุมให้ได้ ซึ่งในตอนนี้สำหรับในพื้นที่อำเภอรัตนบุรีที่มีการระบาดอยู่ และได้มีการรายงานเข้ามาแล้วว่ามีพื้นที่การระบาดอยู่เกือบ 3 พันไร่ และก็ยังมีการระบาดอยู่อีก ซึ่งในขณะนี้ก็มีที่ ต.ธาตุ และ ต.หนองบัวบาน เท่านั้น
ส่วนแนวทางแก้ไขอีกแนวทางหนึ่งสำหรับฤดูกาลต่อไป ก็อยากจะแนะนำให้เกษตรกรหันมาทำเกษตรอินทรีย์กัน โดยใช้น้ำหมักชีวภาพที่ได้จากพืชสีเขียวที่นำมาหมัก แล้วนำไปฉีดพ่นตั้งแต่ต้นข้าวเริ่มโต และอีกระยะหนึ่งก็ฉีดพ่นในระยะที่ข้าวเริ่มจะแตกกอ ซึ่งจะทำให้ข้าวพันธุ์ กข.15 และ ข้าวมะลิ 105 มีภูมิต้านทางโรคมากขึ้น และยังประหยัดการใช้ปุ๋ยเคมีอีกด้วย ซึ่งก็จะเป็นวิธีป้องกันโรคนี้ได้อีกทางหนึ่งด้วย
ภาพ/ข่าว ชูชัย ดำรงสันติสุข จ.สุรินทร์
ข่าวที่เกี่ยวข้อง