พระเครื่อง

ใครอยากศึกษาพระแท้องค์จริงมาหาผมได้' วัต ท่าพระจันทร์ คนหนุ่มสายเลือดใหม่

เกาะติดข่าวสาร >> คมชัดลึก ออนไลน์
logoline

ในวงการพระเครื่อง ย่อมต้องมี "คลื่นลูกใหม่" ที่โด่งดังขึ้นมาแทน "คลื่นลูกเก่า" ที่ต้องปลดระวางตัวเองไปตามกาลเวลา ก็เหมือนกับวงการอื่นๆ ที่พบเห็นโดยทั่วไป


 "เส้นทางนักพระเครื่อง" วันนี้ได้พบกับ คนหนุ่มสายเลือดใหม่ หรือ คลื่นลูกใหม่ ผู้ประสบความสำเร็จบนเส้นทางสายนี้ อีกคนหนึ่ง นั่นก็คือ อนุวัต บูรณสัจจะ หรือ วัต ท่าพระจันทร์ ผู้ชำนาญพระแทบทุกประเภท
 วัต ท่าพระจันทร์ เป็นชาวโพธาราม จ.ราชบุรี สมัยเด็กๆ ตอนเรียนอยู่ชั้นมัธยมต้น คุณพ่อมีรถโดยสาร (บขส.) สายโพธาราม-ราชบุรี-กรุงเทพฯ ทำให้วัตมีโอกาสได้นั่งรถเล่นมากรุงเทพฯ เป็นประจำ  บางครั้งก็ลงแวะที่นครปฐม ไปเที่ยวตามวัดต่างๆ ที่มีพระเกจิอาจารย์ดังๆ เพื่อเช่าบูชาพระ
 ครั้งหนึ่ง เคยไปกราบ หลวงปู่เพิ่ม ที่วัดกลางบางแก้ว อ.นครชัยศรี รู้สึกประทับใจในจริยวัตรของท่านมาก นอกจากได้รับพระจากมือท่านโดยตรงแล้ว  ยังได้เช่าบูชาพระของท่านที่วัดโดยตรงอีกหลายองค์
 ด้วยเหตุนี้ วัตจึงมีความผูกพันกับ พระหลวงปู่เพิ่ม เป็นอันมาก และยังได้โยงใยไปถึง พระหลวงปู่บุญ อาจารย์ของ หลวงปู่เพิ่ม ด้วย
 นอกจากนี้ยังได้ไปที่ วัดศีรษะทอง เพราะคุณพ่อมีกะลาตาเดียว ราหูอมจันทร์ วัวธนู ของ หลวงพ่อน้อย มากพอสมควร โดยได้รับมาจากมือหลวงพ่อน้อยโดยตรง อีกทั้งยังได้ฟังผู้ใหญ่เขาเล่าถึงเรื่องราวอิทธิปาฏิหาริย์ของหลวงพ่อน้อยแล้ว รู้สึกตื่นเต้นมาก ติดอกติดใจมาโดยตลอด ก็เลยไปเที่ยวที่วัดของท่านดูบ้าง
 ที่วัตได้สนใจพระมาตั้งแต่เด็กๆ ก็เพราะว่า ที่บ้านโพธาราม เป็นร้านตัดเสื้อกางเกง มีคุณลุงคนข้างบ้านเล่นพระอยู่ด้วย ที่บ้านของคุณลุงมีตู้พระวางอยู่ ทำให้วัตมีโอกาสได้ดูพระในตู้ในนั้นบ่อยๆ จนจดจำได้ สมัยนั้นพระปลอมมีน้อยมาก ชนิดที่ปลอมแบบง่ายๆ ก็ดูได้ไม่ยาก โดยเฉพาะ พระคง ลำพูน พระหลวงพ่อวัดปากน้ำ หาได้ง่าย ราคาไม่แพง จึงจำได้แม่น
 ต่อมาเมื่อโตขึ้น วัตได้เข้ามาเรียนต่อที่กรุงเทพฯ โดยสอบเข้าเรียนชั้นมัธยมปลายที่โรงเรียนสตรีวิทยา ๒ ลาดพร้าว ยุคแรกๆ สมัยที่ อ.สมหมาย เอมสมบัติ เป็นผู้อำนวยการ ผลการเรียนปานกลาง  พอเอาตัวรอดมาได้ จนเรียนจบ จากนั้นไปเรียนต่อที่ ม.รามคำแหง เทอมแรก ๑๘ หน่วยกิต เก็บได้เต็ม
 ช่วงนั้นมีบ้านพักอยู่ที่บางแค ต้องนั่งรถเมล์มาลงท่าน้ำพรานนก แล้วข้ามเรือมาต่อรถเมล์ที่สนามหลวง ทำให้ต้องเดินผ่าน วัดมหาธาตุ ซึ่งมีสนามพระอยู่ติดกำแพงด้าน ม.ธรรมศาสตร์ มีคนวางแผงพระขายมากมาย จึงเข้าไปดูพระตามแผงต่างๆ ด้วยความสนใจ เพราะเคยดูพระมาก่อน จึงแวะดูพระที่สนามพระวัดมหาธาตุทุกวัน
 ด้วยความสนใจในเรื่องพระ ทำให้เรื่องเรียนหนังสือที่ ม.ราม ต้องห่างเหินไป ตลอดเวลา ๔ ปีที่ เรียน ม.ราม วัตสอบได้เพียง ๑๘ หน่วยกิต ในเทอมแรกเท่านั้น  หลังจากนั้นไม่ได้เลยสักหน่วยกิตเดียว จนน้องสาวเรียนจบมาทันกัน และได้ไปเรียนต่อที่ ม.ธุรกิจบัณฑิตย์ คุณแม่จึงบอกให้วัตไปเรียนด้วยกันกับน้องสาว  เพื่อจะดูแลน้องสาวไปด้วย พร้อมกันนั้นคุณแม่ก็ได้ซื้อรถเก๋งให้วัตขับรับน้องไปเรียนหนังสือด้วยกัน จนจบปริญญาตรี สาขานิติศาสตร์
 "ช่วงที่ผมเข้าสนามพระวัดมหาธาตุ ทำให้ได้ความรู้เรื่องพระมาก อะไรที่ไม่รู้มาก่อน ก็ถามเซียนพระรุ่นพี่รุ่นพ่อ ซึ่งเราต้องทำตัวเป็นเด็กอ่อนน้อมถ่อมตนไว้เสมอ ผู้ใหญ่เรียกใช้อะไรก็ต้องพร้อมรับใช้อย่างเต็มใจ ด้วยเหตุนี้ จึงมีแต่คนรักคนเมตตาสงสาร สอนให้วัตดูพระจนเป็นหลายอย่าง พร้อมทั้งให้หยิบพระไปขายต่อได้ โดยไม่ต้องลงทุนอะไร หรือที่วงการพระเรียกว่า 'ไทเกอร์' (จับเสือมือเปล่า) ต่อมาสนามพระวัดมหาธาตุ ย้ายไปอยู่ที่ตลาดท่าพระจันทร์ ผมก็ตามไปอยู่ที่สนามพระท่าพระจันทร์ด้วย  โดยตอนแรกๆ ไปเป็น 'ผีสนาม' (คนคอยเรียกลูกค้าให้ร้านพระ) เป็นอยู่หลายปี จนมีความรู้มากขึ้นไปอีก  บางครั้งยังสามารถซื้อพระได้ด้วยตนเอง"  วัตเล่าย้อนหลัง ถึงจุดเริ่มต้นในสนามพระท่าพระจันทร์  อันได้ชื่อว่าเป็น "ตักสิลา" ของวงการพระเมืองไทย
 ขณะเรียนอยู่ที่ ม.ธุรกิจบัณฑิตย์ วัตบอกว่า มหาวิทยาลัยแห่งนี้เป็นของคนปักษ์ใต้ (ดร.ไสว สุทธิพิทักษ์) ด้วยเหตุนี้คนใต้จึงนิยมมาเรียนกันที่นี่ และนักศึกษาชาวใต้แทบทุกคน มักจะมี พระหลวงพ่อทวด ติดตัวอยู่ด้วยเสมอ โดยเฉพาะรุ่นหลังเตารีด หลังตัวหนังสือ และเหรียญรุ่นต่างๆ  ในบางครั้งวัตจะขอซื้อพระจากเขาเหล่านั้น หรือเอาของที่เขาชอบไปแลกกับพระหลวงพ่อทวดก็มี จากนั้นก็เอาพระไปขายที่สนามท่าพระจันทร์ ทำให้มีรายได้อยู่เป็นประจำ
 เมื่อมีรายได้มากขึ้น วัตจึงซื้อรถเก๋งมาขับอีกคันหนึ่ง เป็นของส่วนตัว โดยแต่งรถให้สวยสุดสะดุดตาคนพบเห็น จนเป็นที่ถูกตาต้องใจของเพื่อนๆ รวมทั้งคนในสนามพระด้วย ก็ขายรถออกไป ได้กำไรอีกทางหนึ่ง จากนั้นก็เอาเงินที่ได้นี้ ไปซื้อรถคันใหม่มาแต่งให้สวยอีก แล้วขายไปอยู่อย่างนี้เป็นประจำ เรียกว่ามีรายได้ทางซื้อขายพระ และขายรถแต่งสวยควบคู่กันไป
 "พอเรียนจบ ม.ธุรกิจบัณฑิตย์ ผมไปทำงานเป็นที่ปรึกษาทางกฎหมายของบริษัทขายแอร์แห่งหนึ่ง ได้เงินเดือน ๔,๕๐๐ บาท ตกวันละ ๑๕๐ บาท รู้สึกว่าน้อยเหลือเกิน อยู่สนามพระวันหนึ่งๆ อย่างไม่ได้ๆ ก็ต้องมี ๓๐๐ บาทขึ้นไป จึงเบื่อที่จะทำงานบริษัทแอร์ อยู่ได้ไม่กี่เดือนก็ลาออก มาซื้อขายพระที่ท่าพระจันทร์อย่างเต็มตัว เพราะดีกว่า ได้เงินง่าย และมากกว่าด้วย ก็ได้อาศัยแผงพระของเพื่อนรุ่นพี่คนหนึ่งวางพระโชว์  ทำให้ขายพระได้ทุกวัน จนบางครั้งไม่มีพระวางขาย เพราะคนซื้อไปหมด ก็ต้องไปเที่ยวหยิบพระร้านอื่นๆ มาขายต่อก็มี ชีวิตในสนามพระจึงมีแต่ความสุข และมีรายได้อยู่เสมอ ข้อสำคัญคือ ต้องขยัน และซื่อสัตย์สุจริต ทั้งต่อลูกค้า และต่อเพื่อนร่วมอาชีพเดียวกัน ต้องรักษาเครดิตให้ดี อย่าคิดเบี้ยวโกง หรือมีลวดลาย ประเภทเอาพระเขาไปขายแล้ว หายไปหมดทั้งพระทั้งเงิน รับรองว่าอยู่ไม่ได้สำหรับวงการนี้" วัตบอกกล่าวเล่าอดีตที่ผ่านมา
 สำหรับ ความขยัน ของคนวงการพระ วัตบอกว่า ต้องขยันหาพระให้ได้มาบ่อยๆ เพื่อป้อนลูกค้าอย่าให้ขาดมือ สมัยก่อนขยันมาก ต้องตื่นแต่เช้ามืด ถือไฟฉายไปหาพระที่ตลาดสะพานใหม่ดอนเมือง ทุกวันพุธ ไปคุ้ยๆ กองพระที่แผงพระจรจากต่างจังหวัด จะขนพระมาวางขายเป็นกองๆ มากมาย บางวันต้องไปถึงสุพรรณบุรี นครปฐม และที่อื่นๆ เช่นตลาดนัดสวนจตุจักร วันศุกร์วันเสาร์ เขามีตลาดนัดพระทุกสัปดาห์ วัตจะไปทุกแห่ง โดยไม่มีวันหยุดเลย ทำให้ได้พระดีพระแท้อยู่เสมอๆ
 ครั้งหนึ่ง ไปได้ พระกรุเจดีย์เล็ก วัดใหม่อมตรส พิมพ์ประทานพร ที่แผงพระจร แถวเฉลิมบุรี เยาวราช  คนขายบอกว่าเป็น พระกรุวัดชนะสงคราม ตั้งราคาไว้ ๓๐๐ บาท ต่อรองมาได้ ๒๐๐ บาท คนขายตกลง
 วันรุ่งขึ้น วัตเอาพระองค์นี้ไปขายที่สนามท่าพระจันทร์ ได้มา ๗ หมื่นบาท มาถึงทุกวันนี้ พระองค์นั้นน่าจะมีราคาอยู่ที่ ๓ แสนบาทขึ้นไป...นี่คือ ความแม่นยำ และ มั่นใจ ของ คนดูพระเป็น
 นอกจากนี้ ยังได้พระแบบฟลุกๆ อีกหลายครั้ง ล่าสุดเมื่อไม่นานมานี้ มีคนเอา พระสมเด็จ พิมพ์ ใหญ่ วัดระฆัง มาขาย ๓ ล้านบาท ขายไปได้ ๕ ล้านบาท องค์นี้ "นั้ง" (หุ้น) กับเซียนพระรุ่นพี่ท่านหนึ่ง ได้กำไรแบ่งกันคนละ ๑ ล้านบาท สบายไปหลายเดือน
 วัต บอกอีกว่า "มาถึงสมัยนี้ พระแท้หายากกว่าแต่ก่อน เพราะมีคนเล่นพระเป็นมากขึ้น ดูพระเป็นกันทั้งนั้น  การจะหาพระแท้ให้ได้ ก็ต้องไปขอซื้อคืนมาจากลูกค้าเก่าๆ ที่เคยซื้อพระเราไป บางคนเกิดเบื่อก็ขายคืนให้ หรือไม่เห็นว่าช่วงนี้พระมีราคาแพงขึ้น ได้กำไรดี ยอมขายคืนให้ก็มี ตรงจุดนี้ทำให้เรามีพระนำมาหมุนเวียนขายได้อีก ซึ่งแน่นอนว่า ต้องเป็นพระแท้ถึงจะทำอย่างนี้ได้ หากเราไปหลอกขายพระปลอมให้เขา วันหนึ่งเมื่อเขารู้ เอาพระมาคืน เราก็ถึงจุดจบได้เช่นกัน ฉะนั้น การซื้อขายพระ จึงต้องให้ความเชื่อมั่นแก่ลูกค้าว่า พระของเราต้องแท้เสมอ ถึงจะขายให้เขาไป และหากเขาเบื่อ หรือมีความเดือดร้อน เราก็พร้อมที่จะรับซื้อคืนได้ทันที
 การเล่นพระตอนแรกๆ วัต บอกว่า เพราะชอบในรูปแบบพิมพ์ทรงองค์พระ ที่มีทั้ง ศาสตร์ และ ศิลป์ รวมเป็นแอนติค คือ ของเก่าที่มีคุณค่า สมัยนั้นยอมรับว่า ยังไม่ค่อยมีความเชื่อในเรื่องของพุทธคุณ ขององค์พระเท่าใดนัก
 จนมาถึง...วันหนึ่ง วัตขับรถกลับมาจาก จ.ราชบุรี ตอนกลางคืน ด้วยความเร็วสูงมาก ตามนิสัยคนรักรถ ที่ชอบความเร็ว  ขณะมาถึงนครปฐม ได้มีกระบะคันหนึ่ง เป็นรถเปล่าไม่ได้บรรทุกอะไร ขับแซงหน้าในระยะกระชั้นชิด ทำให้วัตตกใจ หักพวงมาลัยหลบเสียหลักจนรถพลิกคว่ำ ๕ ตลบ ตกลงไปในคลองข้างถนน ลอยอยู่บนน้ำ คนที่ขับรถตามหลังมาอีกหลายคัน ต่างตะโกนว่า ตายแน่ๆ
 วัตเล่าว่า "จังหวะนั้นผมค่อยๆ เปิดประตูรถออกมาจนได้ พร้อมกับตะโกนกลับไปว่า ยังไม่ตาย ยังอยู่นี่  สำรวจดูตัวเองแล้ว ไม่ปรากฏบาดแผลอะไรเลย ขณะที่รถกำลังพลิกคว่ำ ผมมีความรู้สึกว่า  เหมือนมีหมอนมารองรับ ประคองรอบตัวผมอยู่ เป็นเกราะกำบังตัว จนสามารถเปิดประตูรถขณะลอยน้ำออกมาได้อย่างปาฏิหาริย์จริงๆ มีคนถามว่า ผมแขวนพระอะไร ผมบอกว่า วันนั้นมีพระติดตัวอยู่ ๓ องค์ คือ ๑.พระพิมพ์สมเด็จปรกโพธิ์หก หลวงปู่โต๊ะ วัดประดู่ฉิมพลี รุ่นแรกแช่น้ำมนต์ ๒.รูปเหมือนหลวงพ่อเดิม วัดหนองโพ พิมพ์นิยม และ ๓.เหรียญเจ้าสัว หลวงปู่บุญ วัดกลางบางแก้ว ในตอนเช้าผมกลับไปดูรถอีกครั้งหนึ่ง ปรากฏว่า หลังคายุบถึงพวงมาลัย มาถึงทุกวันนี้ ผมจึงยอมเชื่อแล้วว่าพุทธคุณมีจริง ปาฏิหาริย์มีจริง เพราะได้ประสบพบเห็นมาด้วยตัวเอง"
 ทุกวันนี้ วัต สามารถซื้อขายพระได้แทบทุกประเภท จะขาดความชำนาญอยู่บ้างก็คือ พระเนื้อชิน นอกนั้นดูได้หมด
 วัตมีหลักปรัชญาประจำใจอยู่อย่างหนึ่ง คือ ความถูกต้องให้อยู่ในสมองและร่างกาย ให้ความรักความสวยงามอยู่ในหัวใจ หมายความว่า ความถูกต้องหากมีอยู่ในสมอง สมองก็จะสั่งงานให้ร่างกายทำตามในสิ่งที่ดีงามและถูกต้องไปด้วย คือ ไม่ไปหลอกลวงใคร ไม่คดโกงใคร ทำแต่ในสิ่งที่ถูกต้องเสมอ  ขณะเดียวกัน ถ้าหากหัวใจของเรามีแต่ความรักความสวยงาม ให้กับคนอื่น เราก็จะเป็นที่รักของทุกคนด้วย
 วัตบอกด้วยว่า นักสะสมพระที่ดีต้องไม่โลภ ไม่ประมาท ทุกครั้งที่ซื้อขายพระ ต้องมีความรอบคอบ ละเอียดถี่ถ้วนทุกซอกมุมขององค์พระ แล้วจะปลอดภัยจากการซื้อพระปลอมได้เสมอ
 วัตมีคำแนะนำ สำหรับน้องใหม่ผู้เพิ่งหันมาสนใจในการสะสมพระเครื่องว่า ก่อนอื่นต้องอ่านหนังสือพระให้มากๆ ดูภาพพระต่างๆ ให้ติดตาและจดจำให้แม่น พร้อมกับศึกษาประวัติความเป็นมาของพระแต่ละกรุ หรือแต่ละพระเกจิอาจารย์ ให้ดีที่สุด จากนั้นให้ไปหา พระแท้ มาศึกษาจากองค์จริง  จดจำจุดตำหนิที่ตำราบอกไว้ พร้อมกับหาจุดตำหนิที่พบเห็นด้วยตนเองให้แม่นที่สุด
 ปัญหาอาจจะมีอยู่ที่ว่า แล้วจะหาพระแท้องค์จริงได้จากใคร? ที่ไหน? อันนี้ก็ต้องมีกลวิธีในการที่จะทำให้ตัวเอง เข้าไปถึงตัวเซียนพระแท้ให้จงได้
 วัตบอกในตอนท้ายว่า "สำหรับผม ยินดีที่จะให้ผู้สนใจศึกษาองค์พระแท้ ที่ผมมีอยู่ได้เสมอ ติดต่อมาได้เลย ขอให้บอกกันตรงๆ ผมจะให้ศึกษาด้วยความเต็มใจ และจะแนะนำให้ด้วย ทั้งนี้โดยไม่จำเป็นต้องซื้อพระจากผมก็ได้"
 วัต ท่าพระจันทร์ มีร้านพระอยู่บนชั้น ๓ ชมรมพระเครื่องมรดกไทย ห้างพันธุ์ทิพย์ งามวงศ์วาน อยู่ด้านที่ใกล้กับร้านอาหาร "สามสลึง" โทร.๐๘-๑๙๑๑-๕๕๔๔ 

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

logoline
แท็กที่เกี่ยวข้อง

ข่าวที่น่าสนใจ