ประโยชน์ของ "วิตามินดี" ที่ได้จากแสงแดดและการรับประทานอาหาร บอกเลยดีต่อ "สุขภาพ" ของเรามากกว่าที่คิด
ร่างกายของเราสามารถสร้าง วิตามินดี (Vitamin D) ด้วยตัวเองจากการที่ผิวสัมผัสแสงแดด และรับประทานอาหารที่มีส่วนประกอบของวิตามินดี เช่น ปลาแซลมอน ปลาทูน่า ปลาทู ปลาซาร์ดีน ไข่ และนม ทำหน้าที่ในการดูดซึมแคลเซียมและฟอสฟอรัส ซึ่งมีความจำเป็นต่อการเสริมสร้างมวลกระดูก และป้องกันโรคกระดูกบาง (Osteopenia) และกระดูกพรุน (Osteoporosis) และช่วยเสริมการทำงานของกล้ามเนื้อ หัวใจ ปอด และสมอง
ซึ่งคุณสมบัติเฉพาะตัวของวิตามินดีคือจะไม่ละลายในน้ำ แต่จะละลายในไขมัน วิตามินดีที่มีความจำเป็นต่อร่างกายมี 2 ชนิด คือ วิตามินดี 2 พบในพืชตระกูลเห็ด รา ยีสต์ และวิตามินดี 3 ที่ร่างกายจะสร้างขึ้นได้เองเมื่อมีการสัมผัสกับแสงแดดผ่านผิวหนัง
เมื่อร่างกายขาดวิตามินดีจะส่งผลให้เกิดการดูดซึมแคลเซียมลดลง มวลกระดูกลดลง เมื่อหกล้มหรือตกจากที่สูงอาจเสี่ยงต่อการเกิดกระดูกหัก และมีอัตราการเสี่ยงสูงต่อภาวะกระดูกพรุนสูง อีกทั้งผู้ที่ขาดวิตามินดี จะมีความเสี่ยงต่อการเกิดโรคเบาหวานมากกว่าคนทั่วไป
ประโยชน์ที่ได้รับเมื่อรับประทานวิตามินดีเป็นประจำ คือ จากการศึกษาทางการแพทย์พบว่า การทานวิตามินดี 3 ในปริมาณสูงจะช่วยป้องกันการลื่นล้มได้ถึงร้อยละ 22 ลดการแตกหักของกระดูกสะโพกได้ร้อยละ 30 รวมถึงกระดูกบริเวณอื่นได้อีกร้อยละ 14
ป้องกันโรคกระดูกพรุน วิตามินดีมีส่วนช่วยให้ร่างกายดูดซึมแคลเซียมในลำไส้ได้อย่างมีประสิทธิภาพและลดการสลายแคลเซียมจากมวลกระดูกได้
ป้องกันโรคกระดูกอ่อน หากร่างกายได้รับวิตามินดี 3 ในปริมาณมากพอจะช่วยให้กระดูกและกล้ามเนื้อแข็งแรง ลดอาการของโรคกระดูกอ่อนที่มักเกิดในวัยรุ่นและวัยทำงาน
เสริมการทำงานของระบบภูมิต้านทาน วิตามินดีช่วยทำให้เม็ดเลือดขาวตอบสนองต่อเชื้อโรคและสิ่งแปลกปลอมที่เข้าสู่ร่างกายได้ดี
ควบคุมการเจริญเติบโตของเซลล์ในร่างกาย โดยเฉพาะเซลล์บริเวณลำไส้ เต้านม และต่อมลูกหมาก วิตามินดีจะช่วยควบคุมให้เซลล์เติบโตได้เป็นปกติ
ควบคุมระดับน้ำตาลในร่างกาย โดยมีหน้าที่อยู่ในกระบวนการผลิตอินซูลินที่ตับอ่อน ทำให้ผลิตอินซูลินออกมาเพื่อควบคุมระดับน้ำตาลในร่างกาย
ควบคุมความดันโลหิตในร่างกาย ด้วยการลดการสร้างสารเรนิน (Renin) ในไต เพื่อควบคุมระดับความดันโลหิตไม่ให้สูงจนเกิดความผิดปกติ
แต่มีข้อเตือนสำหรับการหาซื้อวิตามินดีมารับประทานเองโดยที่ยังไม่ทราบว่าร่างกายต้องการหรือไม่ และต้องการมากน้อยแค่ไหนอาจทำให้เกิดอาการแพ้ที่ผิวหนัง เพราะปริมาณวิตามินดีที่มากเกินไปจะส่งผลในร่างกายสามารถก่อให้เกิดพิษได้ ดังนั้นควรปรึกษาแพทย์ ตรวจหาภาวะขาดแคลเซียมและวิตามินอย่างถูกต้อง ก่อนรับประทานอาหารเสริมวิตามินดี โดยเฉพาะผู้เป็นโรคเบาหวาน ความดันโลหิตสูงหรือต่ำ ผู้ที่ปวดหัวบ่อย มีปัญหาเกี่ยวกับกระเพาะอาหาร เป็นต้น
ทั้งนี้ข้อมูลจาก มหาวิทยาลัยบาร์อีลัน (BIU) ของอิสราเอล เปิดเผยว่า คณะนักวิจัยชาวอิสราเอลค้นพบว่า ภาวะขาดวิตามินดีก่อนติดเชื้อโควิด-19 นั้น เชื่อมโยงกับการเพิ่มขึ้นของอาการป่วยรุนแรงและความเสี่ยงเสียชีวิตจากโควิด นอกจากนี้มีผลการรักษาด้วยวิตามินดีเสริมกับยาอื่นพบว่าช่วยผู้ป่วยส่วนใหญ่ฟื้นตัวได้ดีขึ้น เกินกว่าร้อยละ 50 พร้อมทั้งยังแนะนำว่าทุกคนควรเสริมสร้างภูมิคุ้มกันโควิดด้วยวิตามินดีทั้งการรับประทานและการรับแสงแดด
อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง
เช็กก่อน ควรเลือกซื้อ "เครื่องดื่มผสมวิตามินซี" สุดฮิตที่กำลังเป็นที่นิยมอย่างไร
"นมแพะ"ผลิตภัณฑ์นมแฝง 5 วิตามิน ดีต่อสุขภาพ
"วิตามิน" กับ "อาหารเสริม" เลือกกินอย่างไรให้ได้ประโยชน์มากที่สุด
ข้อมูล paolohospital, bumrungrad, megawecare
ข่าวที่เกี่ยวข้อง