ข่าว

เจาะลึก "วัคซีน โควิด-19" มีกี่ชนิดอะไรบ้างข้อห้ามและข้อควรระวังอาการหลังฉีด

เกาะติดข่าวสาร >> คมชัดลึก ออนไลน์
logoline

"วัคซีน โควิด-19" มีกี่ชนิด อะไรบ้าง ข้อห้ามและข้อควรระวังในการฉีด หากมีอาการดังต่อไปนี้ รีบไปพบแพทย์

การฉีด "วัคซีน โควิด-19" เป็น "วาระแห่งชาติ" เพื่อสร้างภูมิคุ้มกันหมู่ภายในสิ้นปีนี้ ซึ่งปัจจุบันทั้งภาครัฐและเอกชนต่างออกมารณรงค์เชิญชวนให้คนไทยฉีดวัคซีนกันให้ครบ ทุกคน ทั้งประเทศ ซึ่ง ณ ตอนนี้เรามีวัคซีนหลัก แอสตร้าเซนเนก้า (AstraZeneca) และ ซิโนแวค (Sinovac) ขณะที่มี ซิโนฟาร์ม (Sinopharm) เป็นวัคซีนทางเลือก และอนาคตอีก 2 ตัว ที่จะตามมา วัคซีนโมเดอร์นา (Moderna) และ วัคซีนไฟเซอร์ (Pfizer) แม้จะมีเหตุผลและความกังวัลเกี่ยวกับการฉีดวัคซีน โควิด-19 อยู่บ้าง แต่ก็นับว่าเป็นจุดเริ่มต้นและทางออกที่จะช่วยแก้ปัญหาการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 (COVID-19) ที่ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจและความเป็นอยู่ให้กับคนทั่วทั้งโลกได้อย่างดีที่สุด 

วัคซีน โควิด-19 มีกี่ชนิด อะไรบ้าง

วัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 ในปัจจุบัน มี 4 ชนิด ด้วยกัน ได้แก่

1. วัคซีนชนิดสารพันธุกรรม เอ็มอาร์เอ็นเอ (mRNA)

วัคซีนกลุ่มนี้ ใช้เทคโนโลยีใหม่สังเคราะห์สารพันธุกรรมเอ็มอาร์เอ็นเอ (messenger RNA: mRNA) ที่เฉพาะเจาะจงกับเชื้อไวรัส วัคซีนจะทำหน้าที่พา mRNA เข้าเซลล์ และ กํากับให้เซลล์ผลิตสารโปรตีนสไปค์ของเชื้อไวรัส ซึ่งโปรตีนนี้จะกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายให้สร้างแอนติบอดีขึ้นมาต่อต้านเชื้อ

วัคซีนที่มีใช้ในปัจจุบัน ได้แก่ วัคซีนของบริษัท Pfizer และ Moderna จากข้อมูลในปัจจุบันวัคซีนชนิดนี้มีประสิทธิภาพในการป้องกันโรคได้ประมาณ 95% ป้องกันการป่วยรุนแรงและป้องกันการเสียชีวิตได้ 100% วัคซีนไฟเซอร์ ของบริษัท Pfizer ควรได้รับการฉีด 2 เข็มเข้ากล้ามเนื้อ ห่างกัน 3 สัปดาห์ ส่วน วัคซีนโมเดอร์นา ของบริษัท Moderna ควรได้รับการฉีด 2 เข็มเข้ากล้ามเนื้อ ห่างกัน 4 สัปดาห์

2. วัคซีนชนิดใช้ไวรัสเป็นพาหะ (Recombinant viral vector vaccine)

วัคซีนกลุ่มนี้ ใช้ไวรัสที่สามารถตัดแต่งพันธุกรรม เช่น ไวรัสอะดีโน (Adenovirus) โดยนำมาดัดแปลงพันธุกรรมให้ไม่สามารถแบ่งตัวได้ และใส่สารพันธุกรรมของไวรัสโรคโควิด-19 ติดไปด้วย เมื่อนํามาฉีดไวรัสพาหะเหล่านี้จะเลียนแบบการติดเชื้อตามธรรมชาติ โดยกระตุ้มภูมิคุ้มกันทั้งระบบให้สร้างแอนติบอดีย์ต่อไวรัสโรคโควิด-19 ตามสารพันธุกรรมที่ใส่เข้าไป อย่างไรก็ตาม แม้ว่าจะเป็นวัคซีนที่ไวรัสอะดีโนไม่แบ่งตัว แต่ยังจัดเป็นไวรัสที่มีชีวิต เมื่อเข้าสู่ร่างกายจึงยังไม่แนะนำให้ใช้ในผู้ที่มีภูมิคุ้มกันบกพร่องอย่างมาก จนกว่าจะมีข้อมูลที่ชัดเจนมากกว่านี้

 

ปัจจุบันวัคซีนชนิดนี้ที่ใช้กันแพร่หลายมี 4 แบรนด์ ได้แก่ ไวรัสอะดีโนของชิมแพนซี (Chimpanzee adenovirus) โดยบริษัท AstraZeneca (แอสตร้าเซนเนก้า) มีประสิทธิภาพป้องกันอาการประมาณ 70 - 80% ป้องกันการเสียชีวิตได้ 100% , ไวรัสอะดีโนของมนุษย์สายพันธุ์ 5 (Human adenovirus type 5) โดยบริษัท CanSinoBio มีประสิทธิภาพป้องกันอาการประมาณ 60% , ไวรัสอะดีโนของมนุษย์สายพันธุ์ 26 (Human adenovirus type 26) โดยบริษัท Johnson and Johnson (จอห์นสันแอนด์จอห์นสัน) มีประสิทธิภาพป้องกันอาการประมาณ 64 - 72% และ ไวรัสอะดีโนของมนุษย์สายพันธุ์ 5 และ 26 (Human adenovirus type 5 and26) โดยบริษัท Gamaleya ของรัสเซีย มีประสิทธิภาพป้องกันอาการประมาณ 90%

3. วัคซีนที่ทําจากโปรตีนส่วนหนึ่งของเชื้อ (Protein subunit vaccine)

วัคซีนที่ผลิตโดยเทคโนโลยีนี้ ทั่วโลกมีความคุ้นเคยมานาน เพราะใช้ในการผลิตวัคซีนหลายชนิด เช่น วัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่ วัคซีนป้องกันไวรัสตับอักเสบบี เป็นต้น ผลิตโดยการ สร้างโปรตีนของเชื้อไวรัส ด้วยระบบ cell culture , yeast , baculovirus เป็นต้น แล้วนํามาผสมกับสารกระตุ้นภูมิ เมื่อฉีดเข้าสู่ร่างกายจะกระตุ้นให้ร่างกายสร้างแอนตีบอดีต่อต้านโปรตีนสไปค์ของไวรัสโรคโควิด-19

 

วัคซีนที่มีใช้ในปัจจุบัน คือ วัคซีนแบรนด์ Novavax ซึ่งผลิตจาก baculovirus และใช้ Matrix M เป็นตัวกระตุ้นภูมิ มีประสิทธิภาพป้องกันอาการประมาณ 60 - 90% ป้องกันการเสียชีวิตได้ 100%

4. วัคซีนชนิดเชื้อตาย (Inactivated vaccine)

วัคซีนกลุ่มนี้ผลิตโดยนําไวรัสโรคโควิด-19 มาเลี้ยงขยายจํานวนมาก และนํามาทำให้เชื้อตาย การฉีดวัคซีนจะกระตุ้นให้ร่างกายสร้างภูมิคุ้มกันต่อไวรัสทุกส่วน เสมือนได้รับเชื้อไวรัสโดยตรงแต่ไม่ทำให้เกิดโรค เพราะเชื้อตายแล้ว เทคโนโลยีนี้เป็นวิธีที่ใช้กับวัคซีนตับอักเสบเอ โปลิโอชนิดฉีด จึงมีความคุ้นเคยในประสิทธิภาพและความปลอดภัยมานาน แต่เนื่องจากการเพาะเลี้ยงไวรัสต้องใช้ความระมัดระวังมาก ทําให้ผลิตได้ช้าและมีราคาแพง วัคซีนที่มีใช้ในปัจจุบัน ได้แก่ วัคซีนซิโนแวค ของบริษัท Sinovac มีประสิทธิภาพป้องกันอาการประมาณ 50 - 70% ป้องกันการเสียชีวิตได้ 100%

ข้อห้ามและข้อควรระวังในการฉีดวัคซีน โควิด-19

วัคซีนทุกชนิดมีข้อห้าม คือ แพ้สารที่เป็นส่วนประกอบของวัคซีน และเนื่องจากวัคซีนเหล่านี้เป็นวัคซีนใหม่ จึงอาจไม่มีความรู้ในเรื่องปฏิกิริยาการแพ้ที่พบไม่บ่อย ในช่วงแรกจึงควรฉีดวัคซีนเหล่านี้ในสถานพยาบาลหรือสถานที่ที่ให้การช่วยเหลือกรณีมีปฏิกิริยารุนแรง และควรเฝ้าระวังอาการหลังการฉีดอย่างน้อย 30 นาที

หากมีอาการดังต่อไปนี้ หลังได้รับวัคซีน โควิด-19 รีบไปพบแพทย์ ณ สถานพยาบาลใกล้บ้าน หรือ โทร. 1669 เพื่อรับบริการทางการแพทย์ฉุกเฉิน

- ไข้สูง

- หนาวสั่น

- ปวดศีรษะรุนแรง

- เหนื่อยแน่นหน้าอก หายใจไม่สะดวก หรือ หายใจไม่ออก

- อาเจียน มากกว่า 5 ครั้ง

- ผื่นขึ้นทั้งตัว ผิวหนังลอก

- มีจุดจ้ำเลือดออกจํานวนมาก

- ใบหน้าเบี้ยว หรือ ปากเบี้ยว

- แขนขาอ่อนแรง กล้ามเนื้ออ่อนแรง ไม่สามารถทรงตัวได้

- ต่อมน้ำเหลืองโต

- ชัก หรือหมดสติ

อ่านข่าว - คาดไม่ผิด "คลัสเตอร์ศูนย์เด็กเล็ก" เพจดัง - หมอศิริราช ชี้ วิกฤติเดลตาพุ่งพรวด

อ่านข่าว - "ล็อกดาวน์" ด่วน "โควิด-19" ระลอก 4 มาแน่ นักวิชาการนิด้า เตือน 7 วันอันตราย

 

 ข้อมูล : โรงพยาบาลสินแพทย์

logoline

ข่าวที่น่าสนใจ