พระเครื่อง

บูชาไฟเป็นพุทธบูชาวัดพ่อโอภาสี๗๐ปีไม่เคยดับ

เกาะติดข่าวสาร >> คมชัดลึก ออนไลน์
logoline

บูชาเพลิงเป็นพุทธบูชา๗๐ปีที่ไฟเผากิเลสไม่เคยดับจากวัดหลวงพ่อโอภาสี : ท่องไปในแดนธรรม เรื่อง/ ภาพ โดยไตรเทพ ไกรงู

              "สวนอาศรมบางมด" หรือ "วัดหลวงพ่อโอภาสี" เป็นวัดเก่าแก่ในพื้นที่บางมด เรียกตามนามของหลวงพ่อโอภาสี (พระมหาชวน มลิพันธ์) ซึ่งท่านเป็นพระอาจารย์รูปหนึ่งที่มีชื่อเสียงในด้านอิทธิอภินิหาร เชื่อกันว่าท่านเป็นพระที่สามารถรู้ถึงเหตุการณ์ล่วงหน้า และทำนายทายทักได้ถูกต้อง ท่านถือ ลัทธิบูชาเพลิง กล่าวคือ เมื่อท่านได้รับสิ่งของจากบรรดาลูกศิษย์ หรือญาติโยมนำมาถวาย ท่านจะโยนเข้ากองไฟหมด โดยถือหลักว่า จิตใจมนุษย์นี้ ถูกเผาผลาญด้วยไฟราคะแห่งกิเลส ซึ่งไม่สามารถต้านทานได้ นอกจากจะไหม้เป็นเถ้าถ่าน มีเพียงความตายของมนุษย์เท่านั้น จึงสามารถหลุดพ้นจากกิเลสได้
 
                เคยมีคนไปถามท่านว่า “หลวงพ่อเจ้าค่ะ ทำไมต้องเผาสิ่งของด้วย เพราะอะไร" ท่านก็ตอบว่า “ปกติไฟจะเผาผลาญทุกสรรพชีวิตจนมอดไหม้หมดสิ้นได้ก็จริง แต่จิตใจของมนุษย์ปุถุชนกลับร้อนยิ่งกว่าเปลวไฟ คือ ร้อนจากความโลภ ความโกรธ ความหลง และเต็มไปด้วยความอยากได้อยากมีไม่สิ้นสุด การที่อาตมานำปัจจัยและสิ่งของที่ญาติโยมนำมาถวายเผาไฟ เพื่อถวายเป็นพุทธบูชาและช่วยดับความร้อนในใจของมนุษย์ให้สิ้นไป หรือเผากิเลสให้หมดสิ้นไปนั่นเอง” ที่น่าประหลาดคือใครถามถึง “มหาชวน” จะได้รับคำตอบว่า “มหาชวนตายไปแล้ว จากนี้ไปมีแต่ โอภาสี เท่านั้น”
 
                หลวงพ่อโอภาสี มรณภาพเมื่อวันที่ ๓๑ ตุลาคม ๒๔๙๘  ศพของหลวงพ่อโอภาสียังไม่ได้เผา ตั้งไว้ที่วัดโอภาสีบางมด จนถึงทุกวันนี้ และไม่เน่าไม่เปื่อย กลับแข็งเป็นหินโดยตลอด สมกับเป็นผู้อุดมด้วยศีลาจารวัตรผู้มาจากต่างมิติสวมร่างของมหาชวน ซึ่งสิ้นบุญมรณภาพไปในช่วงแห่งความตายที่วัดบวรนิเวศวิหาร
 
                ก่อนหน้ามรณภาพในต้นปี ๒๔๙๘ นั้น คณะศิษย์ได้ขออนุญาตสร้างวัตถุมงคลเป็นเหรียญหลวงพ่ออนุญาต แต่ได้สั่งว่า “เหรียญนี้จะไม่มีรูปโอภาสี เพราะในโลกนี้จะไม่มีโอภาสีอีกต่อไป ครุ คือ อำนาจเสมากับอุณาโลม และรัศมีคือตัวโอภาสีอีกต่อไป”
        
                เหรียญรุ่นสุดท้าย คือ เหรียญครุฑแยกเสมา อันเป็นเหรียญรุ่นแรก และรุ่นเดียวที่ไม่มีรูปหลวงพ่อโอภาสี แม้หลวงพ่อโอภาสีจะมรณภาพไปเป็นเวลาเกือบ ๕๗ ปีแล้ว  แต่ศิษย์ไม่เคยลืมเลือนความกตัญญูมีการจัดงานสรงน้ำรูปหล่อ และแห่รูปหล่อของหลวงพ่อเป็นประจำ และต่างก็พูดเป็นเสียงเดียวกันว่า หลวงพ่อโอภาสีไม่เคยจากไปไหนเลย แต่อยู่กับพวกเราตลอดกาลนาน ท่านจะคอยดูแลพวกเราเสมอตราบเท่าที่พวกเรายังมีความเคารพในองค์ท่านอยู่ทุกลมหายใจ
 
                คาถาของหลวงพ่อโอภาสีที่ท่านได้มอบให้ศิษย์หมั่นท่องบ่นภาวนาได้เป็นประจำวันว่า “อิติสุคะโต  อะระหังพุทโธ  นะโมพุทธายะ ปะฐะวีคงคา  พระภุมมะเทวา  ขะมามิหัง" ทั้งนี้หลวงพ่อโอภาสีนำคาถายอดพระภัณฑ์พระไตรปิฎกมาย่อและเรียบเรียงใหม่เพื่อให้ง่ายต่อการท่องจำของลูกศิษย์และผู้ศรัทธา สวดอยู่กับบ้านป้องกันอันตราย สวดก่อนออกจากบ้านคุ้มกันอันตรายตลอดการเดินทาง ไปต่างถิ่นสวดป้องกันภยันอันตรายต่างๆ จากเทวดา ภูตผีปีศาจ หรือเดินทางไปที่เปลี่ยวให้หยุดภาวนาที่ต้นไม้ใหญ่หรือศาลเจ้า ขอบารมีสิ่งศักดิ์สิทธิ์บริเวณนั้นช่วยปกปักรักษาให้ปลอดภัย อานุภาพของคาถานี้ครอบจักรวาลเลยทีเดียว


ไฟเผากิเลสที่ไม่เคยดับ
 
                ตั้งแต่ พ.ศ.๒๔๘๔ ซึ่งเป็นปีที่ตั้งวัดหลวงพ่อโอภาสี มาจนถึงปัจจุบัน รวมระยะเวลากว่า ๗๐ ปีไฟจากการเผาของเพื่อบูชาเพลิงเป็นพุทธบูชาที่วัดหลวงพ่อโอภาสี ไม่เคยดับสักวันเดียว ทุกๆ วันจะมีผู้คนที่มีความศรัทธาซื้อน้ำมันก๊าดไปถวายหลายร้อยลิตร โดยมีความเชื่อว่า “เปลวเพลิงจากไปจะช่วยกิเลสในใจตนให้เบาบางลงบ้าง”
 
                หลวงพ่อโอภาสี เริ่มเผาของเพื่อบูชาเพลิงเป็นพุทธบูชา ตั้งแต่อยู่ที่วัดบวรนิเวศ เมื่อมีคนนำของมาถวายจำนวนมาก ท่านก็จะแจกแก่สามเณรในวัด และประชาชน ที่เหลือก็โยนเข้ากองไฟหมด จนกุฏิของท่านมีควันพวยพุ่งออกมามาก ทั้งนี้ สมเด็จพระสังฆราชเจ้ากรมหลวงวชิรญาณวงศ์  เจ้าอาวาสวัดบวรนิเวศ  ได้เรียกท่านมาว่ากล่าวตักเตือน ทั้งนี้ท่านได้อธิบายถึงการเผาของไว้ว่า
 
                “โดยปกติแล้วพระเพลิงเผาผลาญสรรพสิ่งใดในโลกจนมอดไหม้หมดเป็นจุลมหาจุลไปจนหมดสิ้น ก็จัดเป็นธาตุที่มีความร้อนสูงอยู่ แต่ถึงกระนั้นจิตใจมนุษย์กลับมาความร้อนแรงยิ่งกว่ากองเพลิง ความร้อนของมนุษย์เกิดจากการเผาผลาญของดวงจิตด้วย โลภะ โทสะ โมหะ อวิชชาต่างๆ อีกมากมาย การที่ได้นำเอาสรรพสิ่งวัตถุทั้งหลายที่ผู้คนเอามาถวายไปเผาทำลายลงก็เพื่อเป็นพุทธบูชา เป็นการดับกิเลสทั้งหลายให้หมดไปจากใจเราเท่านั้นเอง”
 
                อย่างไรก็ตามเมื่อท่านออกจากวัดบวร โดยได้ธุดงค์มาปักกลดอยู่ที่อาศรมบางมด หลวงพ่อโอภาสีบูชาเพลิงเป็นพุทธบูชามาโดยตลอด เมื่อญาติโยมนำของมาถวายท่านก็รับให้พร ท่านใช้สอยของเท่าที่จำเป็นเท่านั้น ที่เหลือก็เอาไปเผาไฟหมด ทั้งนี้ท่านจะถามผู้มาถวายของทุกครั้งว่า “โยนเสียดายไหม ถ้าไม่เสียดายอาตมาจะเผาหมดนะ” และก่อนเผาทุกครั้งท่านก็จะแบ่งของแจกเด็กบ้าง คนชราบ้าง จากนั้นท่านก็จะเผาหมดไม่เหลือเก็บไว้เลย โดยจะเผาทั้งวันทั้งคืนเป็นปกติประจำของท่านเสมอ
 
                หลังจากหลวงพ่อโอภาสีมรณภาพ อดีตเจ้าอาวาสรูปต่อมาอีก ๒ รูป คือ หลวงพ่ออาชม ประภากะโร และหลวงพ่อกิเส็ง ฐิติธรรมโม ยังยึดแนวปฏิบัติการเผาของเพื่อบูชาเพลิงเป็นพุทธบูชามาตลอด รวมทั้งพระครูสุทธิญาโณภาส เจ้าอาวาสรูปปัจจุบันก็เช่นกัน แต่ท่านนำของที่ญาติโยมนำถวายไปจากแจกให้ประชาชนทั้งหมด ส่วนการบูชาเพลิงเป็นพุทธบูชาจะใช้น้ำมันก๊าดแทน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

logoline

ข่าวที่น่าสนใจ