Lifestyle

'ไขมันพอกตับ' ภัยเงียบของคนอ้วน

เกาะติดข่าวสาร >> คมชัดลึก ออนไลน์
logoline

ดูแลสุขภาพ : 'ไขมันพอกตับ' ภัยเงียบของคนอ้วน

 
                      “โรคไขมันพอกตับ” หลายคนอาจคิดว่าโรคนี้มักจะเกิดขึ้นกับผู้ที่ดื่มสุราเป็นประจำเท่านั้น แต่ความจริงแล้ว โรคไขมันพอกตับในผู้ที่ไม่ดื่มแอลกอฮอล์ หรือ Non-Alcoholic Fatty Liver Disease (NAFLD) ซึ่งเกิดจากการสังเคราะห์ไขมันในตับผิดปกติ โดยความผิดปกติและพัฒนาการของโรคจะดำเนินไปเช่นเดียวกับผู้ป่วยโรคตับกลุ่มที่ดื่มสุราเป็นประจำ แต่สิ่งที่น่ากลัวกว่าก็คือ ผู้ป่วยมักจะไม่ทราบถึงความผิดปกติที่เกิดขึ้น เลยไม่ได้รับการรักษาตั้งแต่แรกเริ่มที่เป็นโรค
 
                      โรคไขมันพอกตับ แบ่งได้เป็น 4 ระยะ คือ
 
                      ระยะที่ 1 เป็นระยะมีไขมันก่อตัวอยู่ในเนื้อตับ ซึ่งไม่ได้ก่อให้เกิดผลใดๆ
 
                      ระยะที่ 2 เป็นระยะที่เริ่มมีอาการอักเสบของตับ ในระยะนี้หากไม่ควบคุมดูแลให้ดี และปล่อยให้การอักเสบดำเนินไปเรื่อยๆ เกินกว่า 6 เดือน จะกลายเป็นตับอักเสบเรื้อรัง
 
                      ระยะที่ 3 เป็นระยะที่มีการอักเสบรุนแรง ก่อให้เกิดพังผืดในตับ เซลล์ตับค่อยๆ ถูกทำลายลง
 
                      และระยะที่ 4 เป็นระยะที่เซลล์ตับถูกทำลายไปมาก ตับไม่อาจทำงานได้ตามปกติอีกต่อไป ตับแข็ง และอาจกลายเป็นมะเร็งตับ
 
                      ปัจจุบันมีแนวโน้มพบผู้ป่วยโรคนี้สูงขึ้นเรื่อยๆ ทั้งในเด็กและผู้ใหญ่ โดยโรคไขมันพอกตับนี้แทบจะไม่แสดงอาการ หรืออาจแสดงอาการเพียงเล็กน้อย เช่น อ่อนเพลีย คลื่นไส้ มีอาการตึงๆ บริเวณใต้ชายโครงขวา แต่ผู้ป่วยส่วนใหญ่มักจะพบโรคนี้ด้วยความบังเอิญเมื่อมารับการตรวจสุขภาพประจำปี หรือตรวจอัลตราซาวนด์เพื่อรักษาโรคอื่น
 
                      โรคไขมันพอกตับ หรือ ไขมันเกาะตับ หรือ ไขมันจุกตับ (Fatty liver) คือโรคที่มีไขมันเข้าไปอยู่ในเซลล์ตับเกินปกติ คือ ประมาณ 5-10% ของตับโดยน้ำหนัก โดยทั่วไปมักเป็นไขมันชนิดไตรกลีเซรายด์ (Triglyceride) ซึ่งจะพบใน 75% ในคนที่เป็นโรคอ้วน, 50.1% ของผู้ป่วยเบาหวาน และ 57.7% ของผู้ที่ดื่มสุราเป็นประจำ โดยวินิจฉัยได้จากการตรวจอัลตราซาวนด์ และตรวจเลือดดูค่าตับ หากไม่ได้รับการรักษา จะนำไปสู่โรคตับอักเสบ ตับแข็ง หรือมะเร็งตับได้ในที่สุด
 
                      แนวทางการรักษา คือ การลดละเลิกเหล้า แอลกอฮอล์ ควบคุมอาหาร ลดน้ำหนัก เลิกกินขนมจุกจิก ขนมขบเคี้ยว ลดแป้ง ลดหวาน ลดการรับประทานเนื้อแดงจากสัตว์ใหญ่ เช่น เนื้อหมู เนื้อวัว งดดื่มน้ำอัดลมและน้ำผลไม้ปรุงแต่ง บริโภคอาหารจำพวกคาร์โบไฮเดรตชนิดที่มีค่าดัชนีน้ำตาลต่ำ เช่น ข้าวกล้อง ข้าวโอ๊ต ผลิตภัณฑ์จากนมไขมันต่ำ ผัก และควรออกกำลังกายเป็นประจำ
 
                      สำหรับสมุนไพรทางเลือกบำรุงตับ และสามารถใช้ในภาวะไขมันพอกตับได้ ได้แก่
 
                      ขมิ้นชัน โดยรับประทานครั้งละ 2 แคปซูล หลังอาหาร 3 มื้อ
 
                      มะขามป้อม หรือ ตรีผลา (สมอไทย สมอพิเภก มะขามป้อม) รับประทานครั้งละ 1 แก้ว 3 มื้อ โดยให้รับประทานต่อเนื่องอย่างน้อย 1 เดือนขึ้นไป
 
                      ลูกใต้ใบ ให้ต้มดื่มครั้งละ 1 แก้ว ก่อนอาหารเช้า เย็น
 
                      รางจืด ให้รับประทาน 2 แคปซูล ก่อนอาหาร 3 มื้อ โดยรับประทาน 7 วัน เว้น 4 วัน และหากรับประทานร่วมกับยาแผนปัจจุบัน ต้องรับประทานห่างกันอย่างน้อย 2 ชั่วโมง
 
                      และสิ่งสำคัญสำหรับผู้ป่วยก็คือ การไปพบแพทย์ตามนัดสม่ำเสมอ และติดตามผลการรักษาอย่างต่อเนื่อง
 
 
 
สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่
 
โรงพยาบาลเจ้าพระยาอภัยภูเบศร
 
โทร.0-3721-1289
 
 
 
logoline
แท็กที่เกี่ยวข้อง

ข่าวที่น่าสนใจ