ข่าว

รัฐบาลของคนไทยทั้งประเทศ

เกาะติดข่าวสาร >> คมชัดลึก ออนไลน์
logoline

คอลัมน์ข้าพระบาททาสประชาชน ฐานเศรษฐกิจ ฉบับ 3484 หน้า 6 ระหว่างวันที่ 4-6 ก.ค.2562 โดย...ประพันธุ์ คูณมี

รัฐบาลของคนไทยทั้งประเทศ

 

          พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรรามาธิบดีศรีสินทรมหาวชิราลงกรณ พระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งให้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นนายกรัฐมนตรี ตามความในมาตรา 158 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย โดยประกาศ ณ วันที่ 9 มิถุนายน พ.ศ.2562 ซึ่งตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา จึงต้องถือว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ได้รับความเห็นชอบโดยมติที่ประชุมร่วมกันของรัฐสภา ให้เป็นนายกรัฐมนตรี และกลับมาดำรงตำแหน่งนายกฯ อีกครั้ง โดยมาจากกระบวนการการเลือกตั้งในระบอบประชาธิปไตย ภายใต้รัฐธรรมนูญ พ.ศ.2560 ที่มีผลบังคับใช้ในปัจจุบัน

          และเมื่อวันที่ 11 มิถุนายน 2562 ในพิธีรับสนองพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งนายกฯ ที่จัดขึ้น ณ ห้องสีงาช้าง ตึกไทยคู่ฟ้า ทำเนียบรัฐบาล ต่อหน้าบรรดาข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ และบรรดาตัวแทนพรรคร่วมรัฐบาลทุกพรรค ท่ามกลางสายตาประชาชนทั่วประเทศ ในการถ่ายทอดสดพิธีการดังกล่าว หลังการรับพระบรมราชโองการแล้ว นายกรัฐมนตรี ได้กล่าวต่อผู้มีเกียรติและประชาชนทั่วประเทศ อันถือได้ว่าเป็น “สัญญาประชาคม” ต่อคนไทยทั้งชาติว่า

          “จะทุ่มเททำงานตามมาตรฐานจริยธรรม ด้วยความซื่อสัตย์สุจริต โดยยึดถือผลประโยชน์ของประเทศชาติและประชาชนเป็นสำคัญ” และวรรคทองของคำประกาศในวาระโอกาสนี้ คือ เมื่อเป็นรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งแล้ว และมี ส.ส.พรรคต่างๆ มาร่วมเป็นรัฐบาลก็ต้องเป็น “รัฐบาลของคนไทยทั้งประเทศ” นี่จึงเป็นสัญญาประชาคมและคำประกาศจากผู้นำประเทศ ที่ได้ประกาศต่อคนไทยทั้งประเทศ อันถือเป็นพันธสัญญาผูกพันท่านนายกรัฐมนตรี ตลอดสมัยแห่งการบริหารประเทศ

          บททดสอบภาวะความเป็นผู้นำในทางการเมือง บทแรกภายใต้สถานการณ์ใหม่ที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา จะต้องเผชิญหน้าอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ก็คือ การจัดตั้งรัฐบาลที่มีส่วนผสมจากพรรคและนักการเมืองต่างๆ มากหน้าหลายตาร้อยพ่อพันแม่นี้อย่างไร เพื่อให้ประชาชนมีความศรัทธาและเชื่อถือว่าจะเป็น “รัฐบาลของคนไทยทั้งประเทศ” ได้จริงตามคำประกาศ ทั้งต้องทำให้พรรคการเมืองต่างๆ ที่มาร่วมกันเป็นรัฐบาล มีความสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณและมีความมุ่งมั่นตั้งใจทุ่มเททำงาน เพื่อประเทศชาติประชาชนเช่นเดียวกับท่าน

          เพราะสิ่งที่ประชาชนคาดหวังในการเลือกลงคะแนนให้พรรคพลังประชารัฐ จนชนะในการเลือกตั้งครั้งนี้ เสียงส่วนใหญ่ล้วนมีเป้าหมายเดียวกันคือ ต้องการเห็น พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นนายกรัฐมนตรี เพื่อให้ท่านคัดเลือกและสรรหาคนดีให้มาร่วมบริหารปกครองบ้านเมือง พาประเทศก้าวเดินไปข้างหน้า คืนความสงบสุขแก่ประชาชนและบ้านเมือง โดยไม่ต้องการเห็นการเมืองระบอบเก่าฟื้นชีพ พวกเขาไม่ได้เลือกเพราะนิยมชมชอบ พวกก๊กก๊วนการเมือง หน้าเก่าๆ ที่เคยรับใช้ระบอบทักษิณ สร้างความเสียหายแก่บ้านเมืองมาแล้ว มาอยู่ร่วมชายคากับท่านแต่อย่างใด หากแต่ต้องทำใจและจำใจ หรือมองข้ามไปบ้าง ก็เพราะรู้ว่าการเมืองต่อไปข้างหน้า เมื่อเข้าสู่ระบอบประชาธิปไตย มีการเลือกตั้งแล้ว ก็ต้องใช้เสียงในสภา ใช้มือที่ยกให้ผู้นำมาเป็นเครื่องมือตัดสินเท่านั้น จึงจำใจยอมรับบางคน แม้รู้สึกยี้ตั้งแต่เห็นหน้า

          รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ 1 หลังการเลือกตั้ง จึงเป็นบทเริ่มต้นที่สำคัญยิ่ง องค์ประกอบด้านตัวบุคคลที่จะประกอบเป็นคณะรัฐมนตรี และภาพลักษณ์ของรัฐบาลเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง ที่จะเรียกศรัทธาและความเชื่อมั่นจากประชาชน เพื่อให้รัฐบาลเดินหน้าประเทศไทยไปได้

          ดังนั้นจึงไม่ควรให้ปรากฏเสียง “ยี้” จากประชาชน นายกรัฐมนตรี ซึ่งมิได้เป็นหัวหน้าพรรค การเมืองใด แต่เป็นบุคคลที่ประชาชนไว้วางใจ จะทำหน้าที่เป็นนายกรัฐมนตรี ที่ดีได้ในยุคของการเปลี่ยนผ่านนี้อย่างไร เป็นโจทย์ข้อใหญ่ที่ต้องใช้ภาวะความเป็นผู้นำตัดสินใจ จำเป็นอย่างยิ่งที่ท่านต้องวางตน อยู่เหนือพรรคเหนือพวก เหนือกลุ่มผลประโยชน์ใดๆ และกล้าตัดสินใจเลือกในสิ่งที่ถูกต้อง เลือกคนที่เหมาะสมและดีที่สุดร่วมรัฐบาล ทั้งต้องไม่สยบยอมต่อพวกนักการเมืองประเภทเขี้ยวลากดิน ที่พยายามจะสร้างก๊ก สร้างมุ้ง นับจำนวนพวกและจำนวนเสียง ส.ส มาต่อรองตำแหน่งรัฐมนตรี ตามนิสัยและพฤติกรรมเดิมๆ

          บางคนก่อนเลือกตั้งก็ประกาศตน ให้สัมภาษณ์สื่อ ว่า “มาช่วยพรรคพลังประชารัฐ เพราะต้องการสนับสนุนลุงตู่เป็นนายกฯเท่านั้น ไม่ขอรับตำแหน่งใดๆ ประกาศขอให้คำพูดเป็นนายตนเอง” แต่มาวันนี้กลับลืมคำพูด กลืนนํ้าลายตัวเอง แสดงความหน้าด้าน โกหกประชาชน ตั้งตนเป็นหัวหน้าก๊ก ได้เป็นรัฐมนตรีแล้วยังไม่พอใจ ต่อรองขอตำแหน่งกระทรวงนั้นกระทรวงนี้ ถ้าไม่ได้ดั่งใจก็ตีรวน ขู่จะยกพวกตีจากพรรค ไม่ให้เกียรตินายกรัฐมนตรี แม้จะขอให้สงบ ยุติการให้สัมภาษณ์ที่จะก่อให้เกิดปัญหาทำลายศรัทธาประชาชน พวกเขาก็ยังไม่ใส่ใจ ออกมาเคลื่อนไหวแสดงพฤติกรรมที่น่ารังเกียจ คนจำพวกนี้ถ้านายกรัฐมนตรียอม ก็ต้องยอมก้มหัวให้พวกเขาตลอดไป

          คำประกาศว่าจะเป็นรัฐบาลของประชาชน ของประเทศชาติ ย่อมไร้ซึ่งความหมาย ศรัทธาประชาชนย่อมหมดสิ้น จำเป็นที่สุดที่นายกฯ จะต้องเรียกนักการเมืองประเภทนี้มากำราบเสีย ใครที่สร้างก๊ก สร้างมุ้ง สร้างความปั่นป่วนให้รัฐบาลทำลายศรัทธาประชาชนเช่นนี้ ผู้นำต้องเด็ดขาดครับ ลำพังเพียงออกสารจากนายกฯมาขอโทษประชาชน น่าจะไม่เพียงพอ เพราะร้อยคำพูดไม่สู้หนึ่งการกระทำ

          การจัดการปัญหานี้ต้องเรียกหัวหน้าก๊กมาอบรมและตักเตือน ให้ยุติพฤติกรรมเช่นนั้นโดยเด็ดขาด ไม่ควรให้กระทำหรือแสดงตนเป็นเยี่ยงอย่างที่ไม่ดี เพราะมีแต่วิธีนี้เท่านั้น คำว่า “รัฐบาลของประชาชนทั้งประเทศ” จึงจะศักดิ์สิทธิ์และเป็นจริงได้ หากนายกรัฐมนตรีตัดสินใจ และเลือกบุคคลใดเข้าร่วมรัฐบาลแล้ว ทุกอย่างย่อมต้องเป็นที่ยุติ พฤติกรรมแบบ “กลุ่มสามมิตร” กระทำอยู่ในขณะนี้ จึงเป็นพฤติกรรมการเมืองเก่า นํ้าเน่าที่ประชาชนทั้งหลายต่างรังเกียจ และไม่พึงปรารถนาให้เกิดขึ้น เพราะมีแต่จะทำลายศรัทธาของประชาชน ที่มีต่อท่านนายกฯ และยังเป็นการท้าทายต่อภาวะความเป็นผู้นำ ของพล.อ.ประยุทธ์ อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ จึงไม่สมควรอย่างยิ่งที่นายกฯจะปล่อยให้ผ่านไป

          ภาวะความเป็นผู้นำของนายกฯ ในสถานการณ์การเมืองเช่นนี้ จึงถือเป็นสิ่งสำคัญที่สุดของรัฐบาลผสมหลายพรรค การบริหารจัดการภายในพรรค และการจัดการความสัมพันธ์ระหว่างพรรคร่วมรัฐบาล รวมถึงการควบคุมเสียงโหวตในสภาให้มีความเป็นเอกภาพ เป็นงานที่ฝ่ายรัฐบาลต้องมีทีมงาน ทีมบริหารจัดการที่ดี มารับมือและจัดการกับปัญหาเหล่านี้

          บทเรียนของรัฐบาลที่ประสบผลสำเร็จ และสามารถจัดการปัญหานี้ได้ดีในอดีต มีให้เห็นในยุครัฐบาลของ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ อดีตนายกรัฐมนตรีและรัฐบุรุษ แล้ว พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา จึงควรอย่างยิ่งที่จะต้องศึกษาเป็นบทเรียน และเดินตามรอยรัฐบุรุษ ใช้ความกล้าหาญในการจัดการปัญหานี้เถอะครับ ประชาชนต้องการภาวะผู้นำอย่างท่าน และต้องการเห็น “รัฐบาลของประชาชนทั้งประเทศ”

logoline
แท็กที่เกี่ยวข้อง

ข่าวที่น่าสนใจ